Berlin Marathon 2019
Berlin, Germany
29 September 2019
ตอนเด็กเรียนวิชาสังคม ในหนังสือแบ่งประเทศทั่วโลกออกเป็น
โลกกลุ่มที่ 1 ประเทศทุนนิยมประชาธิปไตยที่พัฒนาแล้ว
โลกกลุ่มที่ 2 ประเทศสังคมนิยมคอมมิวนิสต์
โลกกลุ่มที่3 ประเทศกำลังพัฒนา (ส่วนใหญ่เป็นทุนนิยมประธิปไตย มีประเทศที่เป็นเผด็จการปะปนอยู่ด้วย)
เยอรมันตะวันตกอยู่ในโลกกลุ่มที่ 1 ในขณะที่เยอรมันตะวันออกอยู่ในโลกกลุ่มที่ 2
เมืองหลวงของเยอรมันตะวันออกคือ กรุงเบอร์ลิน เมืองที่อยู่ใจกลางประเทศเยอรมันตะวันออก แต่ไฉนจึงมีกำแพงเบอร์ลินที่กั้นระหว่างเบอร์ลินตะวันตกที่เป็นส่วนหนึ่งของเยอรมันตะวันตก กับ เบอร์ลินตะวันออกที่เป็นส่วนหนึ่งของเยอรมันตะวันออก ตอนเด็กนึกภาพไม่ออกเลยไม่สงสัย
ก่อนวิ่ง 1 วัน ได้มีโอกาสไปดูซากกำแพงเบอร์ลิน ที่เหลือจากการถูกทุบทำลายในปี 1989 (พ.ศ. 2532) เห็นภาพของการแบ่งแยกระหว่างโลกเสรีประชาธิปไตยกับสังคมนิยมคอมมิวนิสต์
ผมกลับมาค้นประวัติศาสตร์เยอรมันสมัยหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เพิ่มเติม จึงได้รู็ว่า ประเทศที่แพ้สงครามอย่างเยอรมันถูกเข้าครอบครองประเทศโดยฝ่ายชนะสงคราม ทั้งฝ่ายโลกเสรีประชาธิปไตยอย่าง อเมริกา อังกฤษ และฝรั่งเศส กับฝ่ายสังคมนิยมคอมมิวนิสต์ คือ โซเวียตรัสเซีย ที่ทั้งหมดนี้อยู่ในฟากกลุ่มสัมพันธมิตรในสงครามโลกครั้งที่ 2 ต่อสู้กับฝ่ายอักษะ มีเยอรมัน อิตาลี ญี่ปุ่น เป็นแกนนำ
ไม่เฉพาะประเทศเยอรมันที่ถูกแบ่งเป็นตะวันตกกับตะวันออก กรุงเบอร์ลินเมืองหลวงของเยอรมันในขณะนั้นก็ถูกครอบครองโดย 4 ประเทศ กรุงเบอร์ลินจึงถูกแบ่งออกเป็นเบอร์ลินตะวันตก (เขตครอบครองของ อเมริกา อังกฤษ และฝรั่งเศส) กับเบอร์ลินตะวันออก (เขตครอบครองโดยโซเวียตรัสเซีย)โดยปริยาย
โซเวียตรัสเซียพยายามกดดันปิดล้อม อเมริกา อังกฤษ และฝรั่งเศส ที่ครอบครองพื้นที่ในเบอร์ลินตะวันตก เพื่อเข้าครอบครองพื้นที่ทั้งหมดของกรุงเบอร์ลิน ปิดกั้นการขนส่งอาหาร การขนส่งของทุกชนิด ตลอดจนการเดินทางทางบกเพื่อตัดขาดการติดต่อ แต่ด้วยศักยภาพทางอากาศของทั้ง 3 ประเทศ โดยเฉพาะอเมริกากับอังกฤษ ทำให้ยังคงรักษาการครอบครองพื้นที่กรุงเบอร์ลินตะวันตกไว้ได้ โดยขนส่งอาหาร สิ่งอุปโภคบริโภคและของอื่นๆ ในการดำรงชีวิต ทางเครื่องบิน
ตั้งแต่ปี 1961 โซเวียตรัสเซียจึงสร้างกำแพงเบอร์ลินล้อมรอบเบอร์ลินตะวันตกไว้ จึงเหลือพื้นที่ไม่กี่ร้อยตารางกิโลเมตรของฝ่ายโลกเสรีประชาธิปไตยท่ามกลางประเทศเยอรมันตะวันออกของฝ่ายสังคมนิยมคอมมิวนิสต์
Berlin Marathon เริ่มวิ่งครั้งแรกในปี 1974 เส้นทางวิ่งจึงวิ่งในพื้นที่ เบอร์ลินตะวันตก จนกำแพงถูกทำลายในปี 1989 Berlin Marathon จึงวิ่งเข้าไปในพื้นที่ที่เคยเป็นเบอร์ลินตะวันออกครั้งแรกในปี 1990
ภายหลังการพังทลายของกำแพงเบอร์ลิน รัฐสภาเยอรมันก็ลงมติย้ายเมืองหลวงมาอยู่ที่กรุงเบอร์ลิน
การพังทลายของกำแพงเบอร์บินจึงเป็นสัญลักษณ์สำคัญของการล่มสลายของระบอบสังคมนิยมคอมมิวนิสต์ แม้กระทั่งโซเวียตเองก็แตกออกเป็นหลายสิบประเทศ รัสเซียก็กลายเป็นประเทศประชาธิปไตย
+++
ในบรรดา World Marathon Majors 6 สนาม Berlin Marathon จัดเป็นรายการที่นักวิ่งแนวหน้าทำลายสถิติกันมากที่สุด
World Marathon Record 2:01:39 ชั่วโมง ก็มาทำกันที่นี่เมื่อปีที่แล้ว (2018) อาจจะด้วยสภาพเส้นทางที่ไม่ได้มีทางชันมากนัก สภาพอากาศก็ไมได้หนาวเย็นจนเกินไป ทำให้นักวิ่งจำนวนมากมาทำสถิติเวลาใหม่ๆ ได้ที่สนามนี้เช่นกัน
จากข้อมูลประวัติ Berlin Marathon รายการนี้จัดขึ้นตั้งแต่ปี 1974 จัดวิ่งกันในพื้นที่ที่เป็นเบอร์ลินตะวันตก เส้นทางเพิ่งจะมาปรับเปลี่ยนให้วิ่งลอดผ่านประตูชัย Brandenburg ที่เคยอยู่ในดินแดนเบอร์ลินตะวันออก เมื่อปี 1990 (2533) ภายหลังกำแพงเบอร์ลินถูกทำลาย
ในปีนั้น นักวิ่งชาวเยอรมันเกือบทุกคนมีน้ำตาอาบใบหน้าขณะวิ่งผ่านลอดประตูชัย Brandenburg ที่ดีใจมีความสุขที่เอกภาพของดินแดนและประชาชนชาวเยอรมันได้กลับมารวมตัวกันกันอีกครั้ง หลังจากถูกตัดขาดไปกว่า 50 ปีด้วยเพราะความเห็นต่างทางการเมือง
+++
ขณะที่ผมวิ่งผ่านประตูชัย Brandenburg ถึงผมจะไม่รู้สึกอะไรกับเหตุการณ์ในอดีต(และก็คิดว่าเกือบทุกคนก็เป็นเช่นนั้นเพราะเหตุการณ์ก็ผ่านมานานแล้ว) แต่ประตูชัย Brandenburg สัญลักษณ์แห่งชัยชนะที่อยู่ห่างจาก เส้นชัยมาราธอน ไม่เกินสองร้อยเมตร ก็ทำให้นักวิ่งตัวเล็กๆ อย่างผม หัวใจพองโต มีแรงฮึดเฮือกสุดท้าย เพื่อวิ่งไปคว้าชัยชนะให้ตัวเอง
แม้ว่าครั้งนี้ผมจะไม่ได้สถิติเวลาตามคาดหมาย แต่ Berlin Marathon ก็มีอะไรให้น่าจดจำไม่น้อยทีเดียว
+++
ตั้งแต่สมัครรายการวิ่งระยะมาราธอนที่ต้องพึ่งดวง ผมยังไม่มีดวงกับเขาเลยสักรายการ รวมถึง Berlin Marathon ที่พลาด lotto (lottery entry หรือการสุ่มคัดเลือกผู้สมัครที่สมัครเข้ามามากกว่าที่งานรับได้)
พี่อนันต์ชวนไปวิ่งโดยการซื้อทัวร์ ส่งลิงค์บริษัททัวร์แห่งหนึ่งในประเทศอังกฤษมาให้ดู ราคารวมที่พักน่าสนใจมาก บริษัททัวร์น่าเชื่อถือ Berlin Marathon เลยถูกกำหนดเป็นสนาม WorldMarathonMajors สนามที่ 2 ของผมตั้งแต่ต้นปี 2019 โดยมีพี่อนันต์เป็นเพื่อนร่วมทางพร้อมเพื่อนนักวิ่ง ปตท.สผ. อีก 3 คน (แต่นั่นเขาโชคดีที่ได้ lotto)
สิ่งที่ต้องจัดการเพิ่มเติมคือ จองตั๋วเครื่องบิน ทำวีซ่าเชงเก้นเข้าเยอรมัน และจัดโปรแกรมเที่ยวก่อนและหลังวิ่ง(ไหนๆ ก็ไปไกลแล้ว ถือโอกาสเที่ยวเลย)
จองตั๋วเครื่องบินก็คงเป็นเรื่องง่ายดายสำหรับทุกคน เปิดเข้าไปดูแอปต่างๆที่ให้บริการค้นหาตั๋วเครื่องบิน เลือกเส้นทางบิน เลือกชั้นที่นั่ง เลือกราคาได้ตามความต้องการ จองเร็วก็มีแน้วโน้มได่ตั๋วราคาดี เวลาต่อเครื่องบินสั้นไม่รอนาน
การทำวีซ่าเยอรมันก็ไม่ยุ่งยาก เข้าเว็บค้นหาว่า ทำวีซ่าเยอรมัน ก็มีคำแนะนําอย่างละเอียดทุกขั่นตอน ทั้งการกรอกใบสมัคร ถ่ายรูป การเตรียมเอกสารใช้ยื่นขอวีซ่าและเอกสารพิสูจน์ตัวเองว่าจะเข้าเยอรมันแล้วกลับเมืองไทยแน่นอน(ดูเหมือนว่าจะกลัวเข้าแล้วไม่ออก)
ก่อนไปยื่นเอกสาร ต้องทำการนัดหมายล่วงหน้า ไปถึงก็สะดวก ผมใช้เวลารวมประมาณ 1 ชั่วโมงก็เสร็จเรียบร้อย บอกวัตถุประสงค์ว่าจะไปวิ่ง Berlin Marathon พร้อมเอกสารตอบรับการวอ่ง เจ้าหน้าที่สถานทูตไม่ได้ถามอะไรมาก แค่เช็คยอดเงินเดือนเข้าบัญชีว่าจริงตามที่ให้ข้อมูลไว้เท่านั้น
+++
ผมกับพี่อนันต์ออกเดินทางคืนวันพฤหัสที่ 26 กันยายน เดินทางถึง Berlin ราว 8:30 เช้าของวันที่ 27 กันยายนตามเวลาท้องถิ่น
รับกระเป๋าแล้วออกมาเจอบูธ Tourist info เข้าไปรับบัตร Welcome Card ที่ใช้ขึ้นขนส่งสาธารณะทุกประเภทในเบอร์ลินที่จองผ่านทางเว็บ แล้วเดินไปที่ท่ารถบัสที่อยู่นอกตัวอาคารเพื่อเดินทางไปโรงแรม (ก่อนขึ้นรถบัส เอา Welcome Card ไปปั๊มวันที่แสดงว่าเราได้เริ่มใช้บัตรแล้วที่เครื่องเล็กๆ สีขาวเหลือแถวท่ารถบัส)
รถบัสสาย TXL พาผมมาส่งที่หน้า Central Station และต่อรถ Tram พาส่งจุดที่ใกล้โรงแรมมากที่สุด โดยรวมแล้ว ก็สะดวกสบาย ไม่ยากลำบากอะไร และเราสามารถใช้ GoogleMaps ค้นหาเส้นทาง การเดินด้วยขนส่งสาธารณะได่อย่างละเอียดพร้อมข้อมูลว่า รถไฟหรือรถบัส จะมาในอีกกี่นาทีข้างหน้า
+++
ผมกับพี่อนันต์ฝากของไว้ที่โรงแรมแล้วเดินทางไปงาน expo รับ bib
งานจัดที่สนามบินเก่า Tempelhof ที่อยู่ห่างไปทางใต้ของกรุงเบอร์ลิน สนามบินที่สร้างก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 มีบทบาทอย่างมากในการเผชิญหน้าของมหาอำนาจต่างขั้วยุคสงครามเย็น
สถานที่จัดงาน expo Berlin Marathon ถึงใหญ่โตกว้างขวางมากแต่ไม่อลังการดูดีเหมือนของงาน Chicago Marathon ที่ผมเคยไป ประตูทางเข้าออกก็คับแคบไปเลยเมื่อเจอมหาชนนักวิ้งที่พร้อมใจกันมาจนทางเข้าทุกช่องที่เป็นประตูจะเบียดเสียดยัดเยียดดูไม่เป็นระเบียบเรียบร้อยเลย
กว่าจะเข้าไปถึงจุดรับ bibได้ ก็ใช้เวลานานทีเดียวและต้องเดินผ่านงาน expo ตลอดงาน
การรับ bib ต้องใช้ qr code พร้อม passport เพื่อยืนยันตนเอง 2 จุด คือ จุดที่ติด wristband สายรัดข้อมือ และจุดที่ไปพิมพ์รับ bib
ได้ bib แล้วก็เดินออกมารับเสื้อที่สั่งล่วงหน้าไว้ ทั้งเสื้องานและเสื้อ, finisher (ถ้าไม่ได้สั่ง มาซื้อในงานก็ได้) จากนั้นก็เดินซื้อของในงาน expo ที่มีของมาขายเยอะมากทีเดียวแต่ผมรู้สึกว่าจะแพงกว่าในงาน expo ของ Chicago Marathon
+++
วันเสาร์ที่ 28 กันยายน พวกเราไม่ได้ไป expo แต่ใช้เวลาเดินเที่ยวชมกรุงเบอร์ลิน ตั้งแต่ย่าน Alexanderplatz ไปจนถึงประตูชัย Brandenburg แวะเข้าไปชมรัฐบาลเยอรมัน แล้วเดินเที่ยวถ่ายรูปในย่านแถบนั้น แล้วนั่งรถไฟไปชมกำแพงเบอร์ลิน หาอาหารเย็นทาน กลับโรงแรมเตรียมตัวเพื่อออกวอ้งในวันรุ่งขึ้น
+++
เช้าวันอาทิตย์ที่ 29 กันยายนหลังจากทานอาหารเช้าเรียบร้อยแล้ว ผมกับพี่อนันต์เดินออกจากโรงแรมแวะไปรับเล็ก แล้วพากันเดินไปด้วยกัน 3 คน ไปยังจุดสตาร์ทที่อยู่ห่างออกไปราว 3km ใช้เวลาเดินประมาณ 30-40 นาที
ช่วงใกล้ประตูชัย Brandenburg เริ่มเห็นว่าตรงจุดนี้จะเป็นส่วนหนึ่งของเส้นทางในช่วงสุดท้ายก่อนเข้าเส้นชัย นึกถึงความรู้สึกตอนวิ่งมาถึงตรงนี้ในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า ก็หวั่นๆ ว่า สภาพร่างกายผมจะเป็นเช่นไร
พวกเราเดินลอดประตูชัยทางด้านขวา เดินตามนักวิ่งที่เดินเป็นขบวนไปทางข้างๆ รัฐสภาเยอรมัน ที่เป็นทางเข้าสู่จุดสตาร์ท
ผ่านจุดตรวจ wristband ตรวจ bib ก็เจอจุดฝากของ เข้าไปช่องระบุเบอร์ bib ของเรา ฝากแล้วเดินต่อไปยังจุดสตาร์ตททึ่อยู่ลึกเข้าไปตามป้ายบอกทาง
ในงานมีห้องน้ำชั่วคราวจำนวนมากแต่ก็ไม่เพียงพอกับนักวิ่ง แต่สภาพภูมิประเทศที่เป็นใจ มีสุมทุมพุ่มไม้หนาทึบราวป่าลึก ทำให้นักวิ่งจำนวนมากไปยืนปลดปล่อยเพื่อให่เบาตัวก่อนออกสตาร์ท ต้นไม้ก็ได้ปุ๋ยชั้นดีปีละหน นับเป็นชัยภูมิที่ยอดเยี่ยมทีเดียว
ผม เล็ก และ พี่อนันต์อยู่ใน block E จากเวลาวิ่งที่ใส่ตอนสมัครช่วง 3:15-3:30 ชั่วโมง ถูกจัดอยู่ใน wave 2 ที่ปล่อยตัวเวลา 9:25 น. หลัง wave แรกที่ปล่อยเวลา 9:15 น.
เดินเข้าไปใน block เจอครูช้าง ทักทายถ่ายรูปกัน
ก่อนปล่อยตัวมีเพลงสนุกๆ เปิดปลุกอารามณ์นักวิ่งให้ฮึกเหิมพร้อมที่จะออกศึกบนเส้นทาง Berlin Marathon ในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า จากนั้นก็นับถอยหลังถึงเวลาสตาร์ทตามกำหนด งานนี้ใช้ปืนยิงต่างจากงานในไทยที่ใช้แตรลม
+++
09:25 น. เสียงปืนดังขึ้น แต่ผมค่อยๆ เดินไปยัง Checkpoint ท่ามกลางนักวิ่งจำนวนมาก
พอเท้าแตะจุดอ่าน Timing Chip บรรยากาศก็พาเท้าผมสับแหลก ผมกด Pace ต่ำกว่า 4:40 min/km ลงไปถึง 4:30 แต่ด้วยความรู้สึกไม่เหนื่อย ยังคงวิ่งไปได้สบายๆ ต่อเนื่อง ทำให้วันนี้เริ่มมีความหวังที่จะทำสถิติใหม่ได้ในสนามนี้
Highlight จุดแรกที่นักวิ่งผ่าน เป็นเสาสูงตระหง่านมีรูปปั้นสีทองสวยงาม Victory Column มีรูปปั้นที่ติดอยู่บนยอด เป็นเทพโรมันสตรีนาม Victoria ทุกคนเลือกวิ่งวนไปทางซ้ายหรือขวาก็ได้เพื่อตรงไปตามถนนเดิมจนวิ่งไปถึงวงเวียนแลี้ยวขวา วิ่งไปทางด้านเหนือของกรุงเบอร์ลินผ่านย่านสถานที่ราชการ แล้ววิ่งต่อไปทางทิศตะวันออก แล้ววกลงมาทางทิศใต้ ลดเลี้ยวไปตามถนนแยกแล้วแยกเล่า ต่อเนื่องไปทางทิศตะวันตก ตะวันตกเฉียงใต้ แล้ววนกลับเข้าใจกลางเมือง จนเลี้ยวไปเจอประตูชัย Brandenburg ที่อยู่ก่อนถึงเส้นชัย วิ่งต่อไปเพียง 200 เมตร ก็เข้าเส้นชัยแบบฟินๆ
ผ่านจุด 5k Checkpoint ผมมองเวลาขณะผ่านได้ 33 นาที หักเวลาที่ออกช้ากว่า wave 1 ประเมินว่าผมคงได้เวลาราว 23 นาที เป็นไปตามแผนการวิ่งที่ผมจำว่า ถ้าผมจะวิ่งได้ 3:18 ชั่วโมง อันเป็นเวลาที่พอมีลุ้น Boston Marathon Qualifying Time
ผ่่านจุด 10k Checkpoint เวลาที่ผมอ่านได้ อยู่ที่ 55 นาที หรือประมาณ 45 นาที ก็ยังคงเป็นไปตามแผน ครั้งนี้ สภาพร่างกาย ก็ยังไปได้ ไม่รู้่สึกเหนื่อยมากอย่างที่เคย อาจจะเป้นเพราะอากาศที่เย็นช่วยให้ผมเป็นเช่นนั้น
1 ใน 4 ของระยะทาง ผมวิ่ง Pace เฉลี่ย 4:36 ดีกว่าเป้าหมาย 6 วินาที ผมเริ่มย่ามใจ
ผ่านจุด 15k checkpoint ผมก็ยังรู้สึกวิ่งสบายๆ กว่าทุกครั้ง มอง Pace บนนาฬิกาและฟังเสียงที่รายงานของ Garmin Connect ผ่านหูฟัง เสียงแจ้งอัตราการเต้นหัวใจที่ไม่เกิน 70% ยิ่งทำให้ผมรู้สึกมั่นใจว่า วันนี้น่าจะมีผลเวลาที่ดีกว่าที่คาดไว้ ผ่านจุดนี้ ผมวิ่งไปแล้ว 1:09 ชั่วโมง ดีกว่าเป้าหมายที่ 1:10 ชั่วโมง
เมื่อใกล้กิโลเมตรที่ 20 ผมรู้สึกได้เลยว่า Pace เริ่มตก เริ่มเห็น Pace 4:40-4:45 min/km แต่เมื่อผ่านครึ่งทาง เวลาที่ผมวิ่งได้ ก็ใกล้เคียงกับเวลาเป้าหมายที่ 1:38 ชั่วโมง ผมยังคงวิ่งได้ตามแผน แต่ก็เริ่มรู้สึกไม่มั่นใจขึ้นแล้ว
ผ่านครึ่งทางไปแล้ว ความรู้สึกก็ยังรู้สึกไปได้เรื่อยๆ ไม่เหนื่อยหอบ Garmin Connect ก็ยังรายงานอัตราการเต้นของหัวใจต่ำกว่า 70% แต่ Pace เริ่มตกลงมา 4:50 ช่วงนี้ผมเริ่มเห็น Pacer ติดธงอยู่ไกลๆ เลยพยายามวิ่งเข้าไปใกล้ๆ เพื่อดูว่าเป็นเวลาเท่าไร พอไปใกล้ๆ เห็นเป็น Pacer 3:30 hrs รู้สึกตกใจที่ว่า ทำไมผมวิ่งตาม Pacer 3:30 ชั่วโมงได้ แต่พอดูเวลาก็คิดว่า Pacer 3:30 hrs น่าจะออกวิ่งมาก่อนผม เลยนำหน้าผมจนผมวิ่งไล่ทัน
ช่วงกิโลเมตรที่ 20-25 Pace ผมตกลงมาถึง 4:57 min/km บางช่วง Pacer 3:30 hrs เริ่มแซงผม ผมรู้ตัวแล้วว่า ผมวิ่งช้ากว่า Pace 5 แล้ว Pacer เวลานี้ถึงแซงได้ เลยกัดฟันวิ่งเกาะ Pacer ไป แต่น่าแปลกใจ ทั้งๆ ที่ไม่ได้เหนื่อยอะไรมาก แต่เร่งความเร็วเท่าไหร่ ก็ไม่ขึ้นเหมือนช่วงวิ่งแรกๆ ให้รู้สึกว่า ท่วงท่าในการวิ่งไม่ค่อยลื่นไหล พยายามรวบรวมสติเพื่อพิจารณาท่าทางในการวิ่งของตนเอง โดยคิดว่า น่าจะทำให้การวิ่งดีขึ้น
ผ่าน Checkpoint กิโลเมตรที่ 30 เวลาผมหลุดเป้าไปเกือบ 2 นาที ตอนนี้ผมคิดแล้วว่า ถ้ายังพอเร่งขึ้นได้ อย่างเก่งผมก็ทำได้แค่ 3:20 ชั่วโมง ซึ่งไม่พอที่จะเอาไปเขียนใบสมัคร Boston Marathon แต่ก็พยายามที่จะกด Pace ลงอยู่ตลอดเวลา หวังใจว่า จะมีแรงฮึดที่สามารถทำได้ แต่ทว่า การรักษา Pace ไม่ให้หลุด 5 min/km ก็แทบจะทำไม่ได้ ขาดูเหมือนจะหนักมากขึ้นๆ ก้าวแต่ละก้าวรู้สึกได้เลยถึงความยากลำบาก
ความพยายามในการวิ่งไล่ตาม Pacer 3:30 hrs ของผม มาจบที่กิโลเมตรที่ 38-39 ที่ Pacer 3:30 hrs เริ่มทิ้งห่างผมไปทีละนิดๆ โดยผมไม่สามารถกด Pace เพื่อไล่ตามได้ ฝนที่ตกหนักมากขึ้นตั้งแต่กิโลเมตรที่ 20 กว่าๆ ทำให้หนาวเย็นมากขึ้น พื้นเจิ่งนองไปด้วยน้ำ แต่ก็ไม่ได้ทำให้รู้สึกทรมานเพิ่มขึ้นแต่อย่างใด เพียงแต่ผมไม่สามารถกด Pace ให้เร็วขึ้นได้ เหมือนมันติดขัดอะไรบางสิ่งบางอย่าง ทั้งๆ ที่ระบบหายใจของผมก็ยังดีอยู่ ยังไม่รู้สึกเหนื่อยเท่าไหร่ อัตราการเต้นหัวใจก็ไม่สูงไปกว่า 70% หรือนาฬิกาวัดผิดก็ไม่รู้ได้
เส้นทาง Berlin Marathon ที่คดเคี้ยวไปมา ทำให้กว่าจะเห็น Landmark สำคัญใกล้เส้นชัย ก็เมื่อผมเลี้ยวผ่านกิโลเมตรที่ 41 ใกล้กิโลเมตรที่ 42 แล้ว ทำให้การวิ่งในช่วงหลังกิโลเมตรที่ 30 ไปแล้ว วิ่งความพยายามในการเร่ง Pace ให้เร็วขึ้น พยายามจะให้กลับไปอยู่ในระดับต่ำกว่า 4:45 ให้ได้ แต่ก็ทำไม่ได้ ทำไม่ได้จนไปถึงกิโลเมตรสุดท้ายที่มองเห็นประตูชัย Brandenburg ปล่อยให้ Pacer 3:30 hrs วิ่งเข้าเส้นชัยทิ้งห่างผมไปพอสมควร
ผมพยายามวิ่งในช่วงสุดท้าย แต่ทำได้แค่ Pace ราวๆ 5 min/km วิ่งมองประตูชัย มองซุ้มเส้นชัยสีน้ำเงิน วิ่งผ่านจุด Checkpoint สุดท้าย กดนาฬิกาหยุด มองนาฬิกา เห็นตัวเลข 3:23 ชั่วโมง เป็นอันว่า ความหวังในการทำ Boston Qualifying Time บนเส้นทางนี้ไม่สำเร็จอีกครั้ง
การวิ่งไล่ความฝันของผม ยังคงดำเนินต่อไป….
+++
ผ่านเส้นชัยแล้ว ผมแทบทรุดลงนอน ถึงแม้ไม่ได้เป็นตะคริว แต่ความรู้สึกปวด ช้ำ ตั้งแต่เท้าจนขึ้นมาถึงต้นขา ทวีความเจ็บปวดมากขึ้น แต่ละย่างก้าวคือความเจ็บปวดอันเกิดจากแรงกระแทกตลอดระยะทาง 42km ผมใช้เวลาค่อยๆ เดินไปรับเหรียญ ค่อยๆ เดินไปรับแผ่นพลาสติกมาคลุมตัวเพื่อบำบัดความหนาวสั่น ค่อยๆ เดินไปเรื่อยๆ หยิบเกลือแร่ มาดื่ม โดยหวังว่าจะทำให้ดีขึ้น หยุดพักเป็นช่วงๆ เพื่อยืดกล้ามเนื้อขาบรรเทาความเจ็บปวด แต่ดูเหมือนจะไม่ได้ผลเท่าไรนัก ระหว่างทางมีเจ้าหน้าที่มาถาม ว่ายังโอเคไหม ผมตอบไปตามความจริงว่า ไม่โอเคเลย แต่คำตอบที่ได้กลับมาบอกว่า ให้เดินไปทางโน้น มีบริการนวดคลายกล้ามเนื้อ ผมเลยค่อยๆ เดินไป โดยหวังว่า การนวดคลายกล้ามเนื้อจะช่วยบรรเทาความเจ็บปวดมากที่สุดเท่าที่เคยวิ่งระยะมาราธอน แต่ไปถึงก็ผิดหวัง อาสาสมัครปิดรับไม่ให้เข้า โดยบอกว่า คนเยอะแล้ว
ผมค่อยๆ เดินไปตามทางเพื่อไปรับของที่ฝากไว้ เห็นพี่อนันต์่ยืนรออยู่ก่อนแล้ว พี่คงยืนรอหนาวอยู่พักใหญ่ ผมเลยรีบไปเอาของเพื่อจะได้ไปเปลี่ยนเสื้อผ้า ความหนาวเหน็บคงลดลง
เมื่อเดินไปเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้ว ผมชวนพี่อนันต์กลับโรงแรม ถึงแม้จะใช้บริการรถไฟใต้ดิน แต่ก็ใช้เวลากว่าครึ่งชั่วโมงได้ กว่าจะไปถึงโรงแรมที่อยู่ไปแค่ 3km เพราะความเจ็บปวดที่ทำให้ผมเดินได้อย่างเชื่องช้า
+++
ผมอาบน้ำเสร็จ ทิ้งตัวลงนอน พยายามโทรติดต่อพี่เปิ้ล พี่คนหนึ่งที่มาวิ่งด้วย แต่พี่เขาโทรกลับมาราวๆ บ่ายสี่โมงกว่าๆ ปลายสายบอกว่า ตอนนี้ผ่านกิโลเมตรที่ 39 มาแล้ว ผมตกตะลึงระคนดีใจ บอกพี่อนันต์ที่นอนอยู่บนเตียงข้างๆ ว่า ผมขอไปรับพี่เปิ้ล แล้วคว้าโทรศัพท์ ไปทั้งชุดเสื้อยืดกางเกงขาสั้น ลืมหยิบเสื้อกันหนาว ลืมหยิบ bib หรือ เหรียญ เพื่อใช้เป็นทางผ่านเข้าไปบริเวณที่อนุญาตเฉพาะนักวิ่ง แล้วกึ่งเดินกึ่งวิ่งไปยังสถานีรถไฟที่อยู่ห่างไป 700 เมตร ขึ้นสถานีรถไฟใกล้ๆ ประตูชัย Brandenburg ไปยืนเกาะรั้วรอพี่เปิ้ล
สักพักจึงเห็นพี่เขากึ่งเดินกึ่งวิ่งมากับนักวิ่งคนไทยคนหนึ่งที่ช่วยพากันวิ่งมาจนถึงจุดที่ผมรอรับ
ผมร้องตะโกนเชียร์อย่างดีใจ ต้องยอมรับเลยว่า ผมไม่เคยคิดเลยว่า พี่เขาจะวิ่งมาถึงจุดนี้ได้ ผมลืมความผิดหวังที่ตัวเองพลาดโอกาสในการทำสถิติ กลับดีใจที่เห็นผู้หญิงคนหนึ่งใช้ความพยายามอย่างน่าประหลาดใจในการพาตัวเองวิ่งมาถึงระยะ 42km ได้
Berlin Marathon ของผมเลยจบด้วยความยินดี
สำหรับผมแล้ว การวิ่วครั้งนี้ก็เป็นประสบการณ์การวิ่งที่ดีครั้งหนึ่ง ที่ได้มาวิ่งในเส้นทางที่คนทั่วโลกอยากมาวิ่ง ได้ร่วมเดินทางมาวิ่งกับพี่ๆ เพื่อนๆ และได้เห็นความพยายามของคนๆ หนึ่ง ที่หลายคนไม่คิดว่าจะวิ่งได้
เป้าหมายการวิ่งไปตามสนาม World Marathon Majors ของผม ยังคงดำเนินต่อไป…
#BerlinMarathon2018 #Berlin46
#IntaniaRunner
#PTTEPRunners #CityTrailRunners

Photo: ซ้าย (ผมเอง) กลาง (Lek ที่ 1 คนไทย เวลา 2:50) ขวา (พี่อนันต์ ที่ 7 รุ่นอายุ 65 เวลา 3:18)
Berlin Marathon Mascot: Frido (ตัว Weasel)
บทความโดย โจ Jirapong Loh