EP144 Biomechanic Running 4
Running form

EP144 ชีวกลไลนักวิ่ง วิ่งอย่างไรให้ปลอดจากการบาดเจ็บ ตอนที่ 4 – CityTrailTALK ซิตี้เทรลทอล์ค
CHAPTER 7: Upgrading Shank Angle
มุมของหน้าแข้งขณะสัมผัสพื้น (Shank Angle at Touchdown – SAT) เป็นจุดสำคัญที่ส่งผลต่อท่าวิ่ง
มุม SAT ที่เหมาะสมจะอยู่ระหว่าง 6-7 องศา ซึ่งทำให้เกิดแรงกระแทกน้อยและเปลี่ยนไปเป็นแรงส่งที่ดีที่สุด (optimal)
แต่การฝึกเพื่อปรับมุม SAT เป็นเรื่องไม่ง่าย อาจจะใช้เวลาหลายวัน หรือหลายสัปดาห์ หรือหลายเดือน จึงสามารถทำได้ อันเกิดจากสมองที่เป็นส่วนที่จำการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อ (Neuromuscular system) ที่ต้องใช้การฝึกฝนบ่อย ๆ ต่อเนื่องจึงจะสามารถปรับมุม SAT ได้
แต่การค่อย ๆ ปรับมุม SAT ก็มีข้อดีที่ทำให้กล้ามเนื้อปรับตัวจากที่ไม่ได้เป็นกล้ามเนื้อที่ใช้งานหลัก กลายเป็นกล้ามเนื้อที่ต้องรับแรงกระแทกมากกว่าเดิม
ข้อเสียของการวางเท้าด้วยมุม SAT ต่ำ
การวางเท้าด้วยมุม SAT ต่ำ จะทำให้กล้ามเนื้อน่อง เอ็นร้อยหวายทำงานมากขึ้นกว่าการวิ่งลงส้นเท้าที่กล้ามเนื้อและเอ็นตรงนี้แทบไม่ค่อยได้ทำงาน ในช่วงแรกของการปรับการวางเท้าให้ SAT ต่ำ จะทำให้เกิดปัญหาทั้งเจ็บหรือตึงที่กล้ามเนื้อน่องและเอ็นบริเวณนี้ได้ แต่อันที่จริงแล้ว การเจ็บจะเกิดจากการปรับเปลี่ยนมุม SAT จากกว้างสู่แคบเร็วไป แต่เมื่อฝึกไปไปสักระยะ กล้ามเนื้อน่องและเอ็นร้อยหวายจะแข็งแรงขึ้น สามารถรับหน้ำหนักขณะวิ่งได้
ประโยชน์จากการปรับมุม SAT ให้ได้ประมาณ 6-7 องศา มีดังตารางด้านล่างนี้
Drills for Shank Angle Transitioning
การฝึกปรับมุม(ระหว่างหน้าแข้งกับพื้น)ขณะที่เท้าสัมผัสพื้น (Shank Angle at Touchdown – SAT) ควรฝึกแบบเท้าเปล่าในช่วงแรก เพื่อให้ได้ความรู้สึกขณะสัมผัสพื้นว่ากำลังวางด้วยกลางเท้า(midfoot)และมีมุม SAT ต่ำ
Phase 1 ฝึกด้วยเท้าเปล่า เริ่มจากเดินอยู่กับที่ฝึกวางเท้าด้วย midfoot และทำมุม SAT ต่ำ ตามด้วย Jog อยู่กับที่ ฝึกวางเท้าและมุมเท้าเช่นเดิม พัก 30 วินาที แล้วต่อด้วยการวิ่งไปข้างหน้า ควรทำก่อนซ้อมวิ่งในแต่ละวัน ให้ฝึกใน Phase นี้ 5 วัน เป็นเวลา 2 สัปดาห์
Phase 2 ฝึกเหมือน Phase 1 แต่ให้ใส่รองเท้าฝึกซ้อม ให้ฝึก 5 วันต่อสัปดาห์ เป็นเวลา 2 สัปดาห์
Phase 3 ให้กลับมาฝึกด้วยเท้าเปล่า โดย 2 sets แรกเป็นการ Jog อยู่กับที่และ Jog ไปข้างหน้า และเซ็ตที่ 3 เปลี่ยนเป็นการวิ่งด้วย race pace (21K หรือ 10K) ให้ฝึก 5 วันต่อสัปดาห์ เป็นเวลา 2 สัปดาห์
Phase 4 ฝึกเหมือนกับ Phase 3 แต่ใส่รองเท้าวิ่ง ฝึก 5 วันต่อสัปดาห์ เป็นเวลา 2 สัปดาห์ ในเซ็ตที่วิ่ง ให้วิ่งด้วย race pace 21K หรือ 10K
การฝึก drill ในแต่ละวัน จะใช้เวลาประมาณ 7 นาที เมื่อเข้าสู่โปรแกรมการซ้อมของวัน ให้พยายามวางเท้าด้วย midfoot ด้วยมุม SAT ต่ำ ช่วงแรกอาจจะเริ่มทำได้ไม่มาก เช่น ให้ได้ 10% ของการซ้อมใน main set ในสัปดาห์ที่ 2 เพิ่มเป็น 20% ของ main set ก็ได้ แต่ถ้าสามารถวิ่งด้วย midfoot และ SAT ต่ำได้ตลอดการซ้อม ก็สามารถทำได้จนกว่าจะสามารถวิ่งได้พลิ้วถูกต้องโดยไม่ต้องจดจ่อกับการวางเท้า
ในการฝึกแต่ละ phase ควรจะถ่ายคลิปเพื่อดูพัฒนาการของการฝึกว่าสามารถฝึกได้ผลตามเป้าหมายหรือไม่
Contrast Runs – แทรกการวิ่งแบบผิดเพื่อให้เห็นความแตกต่าง
ในการฝึกปรับท่าวิ่ง 5 ครั้งต่อสัปดาห์ ให้เพิ่มการฝึก 1-2 ครั้งที่แทรกการวิ่งแบบผิดเพื่อให้นักวิ่งได้รับความรู้สึกว่า การวิ่งแบบถูกต้องมีความแตกต่างกับการวิ่งแบบผิดอย่างไร
ก่อนอื่นต้อง warm-up ก่อน แล้วให้ฝึกทำดังนี้
- วิ่ง easy run ระยะประมาณ 50m ด้วยท่าวิ่งที่ผิด เช่น ขาตรง เกร็ง ขณะวางเท้าให้เลยไปข้างหน้า (heel strike) เข่าอาจจะงอเล็กน้อย (มุม SAT กว้าง)
- พัก 30 วินาที และวิ่ง easy run 50m ด้วยท่าวิ่งที่ดี เขางอ วางเท้า midfoot ที่ SAT 6-7 องศา
- พัก 30 วินาที แล้ววิ่งแบบข้อ 1)
- พัก 30 วินาที แล้ววิ่งแบบ ข้อ 2)
- พัก 1-2 นาที แล้วเริ่มวิ่งแบบ 1) ถึง 4) อีก 2 รอบ (รวมเป็น 3 รอบ)
การฝึก Contrast Run นี้ ควรหาพื้นที่นุ่ม ๆ เช่นบนหญ้า หรือในพื้นยาง จะช่วยลดแรงกระแทก ขณะวิ่งให้รับความรู้สึกที่แตกต่างกันระหว่างท่าวิ่งที่ถูกต้อง ลง midfoot มุม SAT 6-7 องศา กับการลง heel strike มุม SAT กว้าง และให้รับความรู้สึกว่า การวิ่งทั้ง 2 ท่ามีความแตกต่างอย่างไร เช่น แรงกระแทก ความพยายามในการวิ่ง
Summary
เมื่อฝึกแล้ว การเปลี่ยนท่าวิ่งจาก การวางเท้าที่มุม SAT กว้าง ไปเป็นการวางเท้าที่มุม SAT 6-7 องศา บางคนใช้เวลาไม่นาน (2-3 วัน) แต่บางคนก็ต้องใช้เวลานับเดือนถึงเปลี่ยนได้ การปรับเปลี่ยนควรทำแบบค่อยเป็นค่อยไปเพื่อป้องกันการบาดเจ็บที่จะเกิดขึ้นกับเอ็นและกล้ามเนื้อที่ถูกใช้งานมากขึ้น คือ เอ็นร้อยหวาย (Achilles tendon) กล้ามเนื้อน่อง (Calf muscles) และเท้า
CHAPTER 8: Shortening Stance Time and Increasing Cadence
นักวิ่งจะวิ่งเร็วขึ้นต้องเพิ่มรอบขา (cadence, step/min) โดยการลดระยะเวลาที่เท้าสัมผัสพื้น (stance time or ground contact time, millisecond/step) ถ้าไปดูสมการความเร็วที่สัมพันธ์กับรอบขาและระยะก้าวจะได้ดังนี้
Running Velocity = Step Rate x Step Length
ตัวอย่างวิ่ง 5k ในเวลา 18 mins ที่รอบขา 164 step/min (pace = 3:36 min/km)
จะได้ Running Velocity = 5000m/18min = 164 step/min x Step Length
Step Length = 5000/(18×164) = 1.7 m/step
ในการเพิ่มความเร็ว
- นักวิ่งจะต้องเพิ่มรอบขาขึ้นให้ได้ 180 step/min โดย ระยะก้าว (Step Length) ต้องไม่สั้นลง
- นักวิ่งต้องเพิ่ม ระยะก้าว โดยที่ รอบขา ต้องไม่ลดลง
กรณีนักวิ่ง 5k ด้านบน ถ้าต้องการเพิ่มความเร็ว คงต้องเพิ่ม รอบขา หรือ Step Rate (Cadence) แต่ถ้าไปเพิ่ม ระยะก้าว อาจจะทำให้ท่าวิ่ง(การวางเท้า)ไม่ถูกต้องได้ กล่าวคือ มุม SAT จะกว้างขึ้นกว่ามุมที่ดีที่สุด (6-7 องศา) เกิดแรงเบรก ทำให้ รอบขา และ Running Economy แย่ลง
การเพิ่ม รอบขา ในช่วงแรกจะทำให้ ระยะก้าว สั้นลง โดยธรรมชาติแล้ว จะไม่สามารถเพิ่มรอบขาโดยไม่เสียระยะก้าวได้ในทันที แต่ถ้าฝึกท่าที่ช่วยให้เพิ่มรอบขา (drill) ก็จะทำให้ระยะก้าวค่อย ๆ เพิ่มขึ้นมาเท่ากับระยะก้าวเดิมที่ทำได้ เมื่อเพิ่มรอบขาได้โดยที่ระยะก้าวกลับมาเท่าเดิม ท่าวิ่งของนักวิ่งจะมีการ upswing ที่มากขึ้น
ถ้ากลับไปดูนักวิ่ง 5k ที่เคยทำเวลาได้ 18 นาทีที่รอบขา 164 step/min แต่ถ้าเพิ่มรอบขาได้ถึง 180 step/min นักวิ่งจะทำเวลาได้ลดลงเหลือ
5000m/(180step/min x 1.7m/step) = 16:20 นาที (pace = 3:16 min/km)
แนวทางการเพิ่มรอบขาเพื่อให้วิ่งเร็วขึ้น
การเพิ่มรอบขาโดยไม่ให้กระทบกับระยะก้าวทำได้ 2 แนวทางคือ
- การฝึก drill (ที่ดูจะย้อนแย้ง) ที่มีการลดระยะก้าวลง (baby step) ชั่วคราวในตอนแรกเพื่อพัฒนา neuromuscular system ให้คุ้นเคยกับรอบขาที่สูงขึ้น
- นักวิ่งต้องพัฒนาความสามารถในการสร้างแรงถีบ (propulsive force) โดยเท้าต้องไม่แช่นาน (shorter stance time) ซึ่งส่งผลให้รอบขา (cadence) สูงขึ้น การฝึกแนวสร้าง explosive activities จะสร้างแรงถีบได้ดีมาก
Drill for Transitioning to a Higher Cadence
การฝึกซ้อมเพิ่มรอบขา (drill) จะเริ่มฝึกโดยไม่ใส่รองเท้า โดยเป้าหมายที่รอบขา 180 step/min โดยยังคงการลง midfoot และ มุม SAT 6-7 องศา
ใน Phase 1 ให้เริ่มฝึกจากการเดินอยู่กับที่ ต่อจากนั้นวิ่งเบา (ประมาณ easy pace หรือช้ากว่าได้) อยู่กับที่ สุดท้ายวิ่งไปข้างหน้า โดยให้ฝึก 5 ครั้งใน 1 สัปดาห์ แต่ถ้ายังรู้สึกว่ายังทำได้ไม่ดี ก็ให้ทำต่อไปจนกว่าจะวิ่งได้ 180 step/min ด้วยการลง midfoot และ มุม SAT 6-7 องศา ถ้านักวิ่งสามารถใช้ metronome เพิ่มกำหนดจังหวะในการวางเท้าได้ จะทำให้การฝึกง่ายมากขึ้น
ใน Phase 2 ให้ใส่รองเท้าฝึกแบบ Phase 1 ขณะฝึก drill ควรถ่ายวิดิโอเพื่อนำมาวิเคราะห์ดูว่าสามารถวิ่งด้วยท่าวิ่งที่ถูกต้องหรือไม่
ใน Phase 3 กลับมาฝึกแบบเท้าเปล่า โดยเริ่มจากวิ่งอยู่กับที่แล้ว ต่อด้วยวิ่งไปข้างหน้า (ประมาณ easy pace หรือช้ากว่าได้) ปิดท้ายวิ่งเร็วขึ้น (เร็วกว่า easy pace) โดยยังคงลง midfoot และมีมุม SAT 6-7 องศา
ใน Phase 4 ให้ใส่รองเท้าฝึกแบบ Phase 3 ขณะฝึก drill ควรถ่ายวิดิโอเพื่อนำมาวิเคราะห์ดูว่าสามารถวิ่งด้วยท่าวิ่งที่ถูกต้องหรือไม่
Contrast Runs – แทรกการวิ่งแบบผิดเพื่อให้เห็นความแตกต่าง
ในการฝึกปรับท่าวิ่ง 5 ครั้งต่อสัปดาห์ ให้เพิ่มการฝึก 1-2 ครั้งที่แทรกการวิ่งแบบผิดเพื่อให้นักวิ่งได้รับความรู้สึกว่า การวิ่งแบบถูกต้องมีความแตกต่างกับการวิ่งแบบผิดอย่างไร
Cadence Contrast Runs
ก่อนอื่นต้อง warm-up ก่อน แล้วให้ฝึกทำดังนี้
- วิ่งเท้าเปล่าที่ความเร็ว easy pace 1 นาที ลงเท้าแบบ midfoot มุม SAT 6-7 องศา ด้วยรอบขา 180 step/min
- พัก 30 วินาที วิ่งที่ความเร็ว easy pace 1 นาที ลงเท้าแบบ midfoot มุม SAT 6-7 องศา ด้วยรอบขา 200 step/min อาจจะใช้นาฬิกา mode Metronome ช่วยกำหนดจังหวะการก้าวเท้า
- พัก 30 วินาที แล้วทำตามข้อ 1)
- ให้ใส่รองเท้าแล้วเริ่มทำตั้งแต่ 1) ถึง 3) อีก 1 รอบ (รวมเป็น 2 รอบ)
Landing Contrast Runs
ก่อนอื่นต้อง warm-up ก่อน แล้วให้ฝึกทำดังนี้
- วิ่งด้วยเท้าเปล่า ควรวิ่งบนพื้นหญ้าหรือลู่วิ่งที่ปูด้วยยางป้องกันการบาดเจ็บ ให้วิ่ง 20 วินาทีด้วยรอบขา 180 แต่วิ่งลงส้นเท้า
- พัก 10 วินาที แล้ววิ่งด้วยการลง midfoot รอบขา 180
- ให้ใส่รองเท้า แล้ววิ่งตามข้อ 1) และ 2) อีกครั้ง
การฝึกแบบ Contrast Running เพื่อให้นักวิ่งรู้สึกถึงความแตกต่างระหว่างการวิ่งที่ถูกกับการวิ่งที่ไม่ถูกว่าเป็นอย่างไร ซึ่งจะช่วยให้ร่างกายจดจำได้ดีขึ้น
การฝึกให้ระยะเวลาที่เท้าสัมผัสพื้นสั้นลง (แตะแล้วเด้งเร็ว) หรือ Explosive Workout Routines
การทำให้ระยะเวลาที่เท้าสัมผัสพื้นสั้นลง จะช่วยเพิ่มรอบขาและระยะก้าวให้ยาวขึ้นในเวลาเดียวกัน
การฝึกรูปแบบนี้ ต้องทำบนพื้นที่อ่อนนุ่ม เช่น บนพื้นหญ้า ลู่วิ่งยาง ให้ทำ 2 ครั้งต่อสัปดาห์ใน phase ที่มีการฝึกซ้อมที่เน้นความเร็ว (interval) และทำลดลงเหลือ 1 ครั้งต่อสัปดาห์ใน phase ที่เน้นการวิ่งแบบอื่น
ก่อนการฝึกรูปแบบนี้ นักวิ่งควรจะสร้างความแข็งแรงให้กล้ามเนื้อขาก่อน
Explosive Drills
- Warm-up ด้วยการวิ่งช้า ๆ (ช้ากว่า easy pace) 12 นาที ยืดเหยียดกล้ามเนื้อ และวิ่ง Stride 2 เที่ยว (ระยะ 60m interval pace)
- Skipping หรือท่าเด้งเท้า 2 จังหวะทีละข้าง (คล้ายกระโดดด้วยเท้าข้างเดียว แต่ไม่สูง) กระโดดด้วยหน้าเท้า (ball of foot) ทำท่านี้ประมาณ 30 วินาที ขณะทำให้เท้าอยู่บนพื้นสั้นที่สุด ทำ 3 เที่ยว พัก 15 วินาทีระหว่างเที่ยว
- Double-Leg Hurdle Jumps ฝึกกระโดดข้ามสิ่งกีดขวาง โดยวางสิ่งกีดขวาง (เช่นรั้วเล็ก ๆ ความสูงเท่ากันสูงไม่เกิน 0.5-1 ฟุต) ห่างกัน 1m จำนวน 8 อัน แล้วเริ่มกระโดดจากด้านหนึ่งของสิ่งกีดขวาง กระโดดพร้อมกัน 2 ขาให้ข้ามสิ่งกีดขวางกันแรก เมื่อเท้าทั้งสองลงสู่พื้นแล้ว ก็กระโดดข้ามสิ่งกีดขวางอันถัดไปทันที ทำไปจนครบ 8 สิ่งกีดขวาง แล้ววิ่งเบา ๆ ย้อนกลับไปเริ่มกระโดดใหม่อีก 3 รอบ (รวมเป็น 4 รอบ)
การฝึกนี้ จะเพิ่มทักษะการสร้างแรงกระโดดอย่างรวดเร็ว(แรงระเบิด – explosive) จะช่วยลด ground contact time
การเพิ่มความยาก ให้เพิ่มที่ความสูงของสิ่งกีดขวางหรือเพิ่มจำนวนรอบที่กระโดด
- One-Leg Hops In Place กระโดดด้วยขาข้างเดียวอยู่กับที่ทีละข้าง ช่วยลด ground contact time
ถ้าเริ่มขาขาซ้ายก่อน ให้วางขาซ้ายบนพื้นด้านหน้า และวางเท้าขวาด้านหลังบนพื้นที่สูงระดับเข่า แนวเข่าขวาอยู่ใต้ลำตัว น้ำหนักตัวทั้งหมดจะลงไปที่เท้าซ้าย จากนั้นกระโดดด้วยเท้าซ้ายอย่างน้อย 2 ครั้งต่อวินาที เป็นระยะเวลา 40 วินาที ความสูงของการกระโดดให้สูงอย่างน้อย 10cm โดยที่เท้าขวาไม่ขยับ
เท้าซ้ายกระโดดให้เหมือนกับอยู่บนเตาร้อน ๆ คือ เท้าแตะพื้นให้กระโดดต่อทันที และให้มั่นใจว่าขณะเท้าซ้ายแตะพื้นให้ลง midfoot จากนั้นพัก 15 วินาทีแล้วทำอีกครั้ง แล้วพัก 15 วินาทีและทำครั้งสุดท้าย (รวมแล้ว 3 รอบ)
- Diagonal Hop กระโดดซิกแซก เป็นอีกท่าที่ช่วยฝึกลด ground contact time เพิ่มแรงระเบิด (แตะพื้นแล้วเด้งทันที) และยังได้ฝึกความแข็งแรงและความคล่องตัวของข้อเท้า
ท่านี้ให้ฝึก 45 วินาที โดยเริ่มจากก้าวเท้าไปทางขวาด้วยเท้าขวา เมื่อเท้าขวาแตะพื้นแล้ว ให้ใช้เท้าขวากระโดดอยู่กับที่ 1 ครั้ง เมื่อเท้าขวาแตะพื้น ให้กระโดดไปทางซ้าย เมื่อเท้าซ้ายแตะพื้นแล้ว ให้กระโดดด้วยเท้าซ้ายอยู่กับที่ 1 ครั้ง พอเท้าซ้ายแตะพื้นให้กระโดดไปทางขวา
พยายามผ่อนคลายไม่เกร็งขณะฝึก ให้เกิดจังหวะลื่นไหล แขนขาเคลื่อนที่อย่างสัมพันธ์กัน จนครบ 45 วินาที พัก 15 วินาที แล้วกระโดดในลักษณะเดิมต่ออีก 45 วินาที
- On-Leg Squats with Jumps
ท่านี้เหมือนท่าที่ 4) One-Leg Hops In Place ยกเว้นขณะกระโดด ให้กระโดดสูงกว่า และขณะที่เท้าตกลงแตะพื้นให้งอเขาลงจนเกือบแตะพื้นคล้ายทำท่า squat ทำแบบนี้ทั้งหมด 10 ครั้งต่อขา 1 ข้าง (รวมการกระโดดเป็น 20 ครั้ง)
- Greyhound Runs – ฝึกท่าหมาเกรฮาว ให้ซ้อมวิ่งในพื้นที่ที่มีระยะทางราบเรียบอย่างน้อย 100m
ให้เริ่มวิ่งแล้วเร่งให้เร็วขึ้นสูงสุด (repetition pace)ในระยะ 20m หลังจากนั้นคงความเร็วอีก 80m แล้วพักโดยเดินไปรอบ ๆ 30 วินาที แล้ววิ่งในรอบถัดไปแล้วสลับเดินพักให้ครบ 8 เที่ยว
ขณะวิ่งระวังไม่ over stride และมุม SAT ไม่กว้างเกินไป
- One-Leg Squats with Lateral Hops – สควอทขาเดียวแล้วกระโดดทางข้าง
ยืนด้วยขาซ้ายข้างเดียว เท้าซ้ายวางใต้ลำตัว เท้าขวาวางบนแท่นระดับที่สูงระดับเข่า (15-20cm) ทิ้งน้ำหนักตัวลงที่เท้าซ้าย
ย่อตัว งอเข่าจนได้ 90 องศา ลักษณะเป็นการทำสควอทด้วยขาข้างเดียว พอเข่าซ้ายได้มุม 90 องศา ให้ใช้เท้าซ้ายกระโดดไปทางซ้ายประมาณ 15-24cm (โดยเท้าขวายังวางอยู่แท่นระดับนิ่งๆ) กระโดดกลับด้วยเท้าซ้ายเข้ามาตรงกลาง นับเป็น 1 ครั้ง ให้ทำทั้งหมด 12 ครั้ง พัก 1 นาที แล้วเปลี่ยนตำแหน่งเท้ายซ้ายเท้าขวา
ให้ทำ 2×12 บนเท้าซ้าย และ 2×12 บนเท้าขวา
- High-Knee Explosions – กระโดดสูงแบบแรงระเบิด
เริ่มจากกระโดดแบบเบาๆ ไม่สูงก่อน จากนั้นกระตุกขาให้กระโดดสูงจนเข่าแตะหน้าอก
เมื่อเท้าแตะพื้น ให้แตะอย่างนิ่มน่วมผ่อนคลาดแล้วทำซ้ำอีก 14 ครั้ง (รวมเป็น 15 ครั้ง)
ขณะทำ ลำตัวตรงหลังอย่าค่อม และให้หลังตรงตลอดขณะกระโดด
- Shame’s In-Place Accelerations (SIPAs)
เริ่มจากวิ่งช้า ๆ อยู่กับที่ เมื่อพร้อมแล้วก็เพิ่มมอัตราการก้าว (ซอยเท้าให้ถี่ขึ้น) ให้เร็วขึ้นมากที่สุดที่สามารถทำได้ต่อเนื่อง 20 วินาที ขณะทำให้เท้าเพียงแค่พ้นจากพื้น ไม่ต้องยกเข่าสูง การซอยถี่ ๆ เพื่อให้ ground contact time น้อยที่สุด
- Downhill Hops
กระโดดลงเนินด้วยขาข้างเดียวระยะ 20m ขณะทำต้องรักษาสมดุลร่างกาย ลำตัวตรง จากนั้นกระโดดกลับ 20m ด้วยขาข้างเดิม พัก 1 นาที แล้วทำให้ครบ 3 เซ็ต
- Downhill Running
วิ่งลงเนิน 100m แล้ววิ่งกลับช้า ๆ กลับจุดเริ่มต้นแล้วทำให้ครบ 4 เซ็ต
- 4 x 100
วิ่งด้วยท่าที่ถูกต้องด้วยความเร็ว repetition pace ระยะ 100m จากนั้นวิ่งเบา ๆ เพื่อให้หายเหนื่อย 2 นาที แล้วเริ่มวิ่งอีกรอบจนครบ 4 เซ็ต
- Cool Down เมื่อทำครบแล้ว ให้วิ่ง cool down ช้า ๆ ระยะ 3.2km
Summary
การซ้อมเพื่อลด ground contact time และการเพิ่มรอบขา เป็นเรื่องสำคัญและเป็นการพัฒนาท่าวิ่งที่เป็นพื้นฐาน นำไปสู่การพัฒนาให้วิ่งเร็วขึ้น
การฝึกต้องฝึกที่รอบขา 180 หรือสูงกว่าเล็กน้อย ในทุกโปรแกรม
Contrast Run จะช่วยให้เน้นให้ร่างกายเรียนรู้เมื่อเท้าสัมผัสพื้น
Explosive training ช่วยฝึกให้ลด ground contact time และเพิ่มรอบขา เพิ่มแรงถีบ
การซ้อมทั้งหมดนี้ควรจะใส่เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาความเร็วเพื่อลงแข่ง
CHAPTER 9: Improving Body Lean
Shank Angle at Touch (SAT) ที่ทำมุมกว้าง จะทำให้เกิดแรงเบรกขณะที่เท้าแตะพื้น และยังเพิ่มความเสี่ยงบาดเจ็บจากการรับแรงกระแทกสูง
ในขณะที่ SAT ที่ติดลบ (วางเท้าขณะสัมผัสพื้นค่อนไปทางด้านหลัง) จะทำให้แรงถีบส่งไปข้างหน้าลดลงส่งผลต่อความเร็วของนักวิ่ง
SAT ที่เหมาะสม (optimum) ที่สุดคือ 6 องศา เป็นมุมที่ทำให้ขาสามารถสะสมแรงที่เปลี่ยนจากแรงกระแทก (impact) ไปเป็นแรงส่ง (propulsion) ไปข้างหน้าได้ดีที่สุด โดยที่มีความเสี่ยงบาดเจ็บน้อยที่สุด
แต่การเอนตัวไปข้างหน้า (body lean) ถึงแม้จะมีผลต่อสมรรถภาพการวิ่งและการบาดเจ็บน้อยกว่า SAT แต่ การเอนตัวไปข้างหน้าก็มีความสำคัญ
การเอนตัวไปข้างหน้าแบ่งได้เป็น 3 ช่วงใหญ่ ๆ คือ
- การเอนตัวขณะที่เท้าสัมผัสพื้น (Initial Impact)
- การเอนตัวขณะที่เท้ารับน้ำหนักเต็มที่ (Mid-Stance)
- การเอนตัวขณะที่ปลายเท้าพ้นพื้น (Toe-off)
งานวิจัยด้านการเอนตัวมีน้อย คำแนะนำจึงอยู่บนพื้นฐานของประสบการณ์เป็นหลักว่า การเอนตัวที่เหมาะสมเป็นอย่างไรในแต่ละช่วง
How Body Lean Impacts Running Velocity
ถ้าพิจารณาการเอนตัวขณะที่เท้ารับน้ำหนักเต็มที่ (Mid-Stance) แบ่งได้เป็น 3 รูปแบบคือ ลำตัวเอนไปข้างหลัง (lean backward) ลำตัวตั้งตรง (straight up) และ ลำตัวเอนไปข้างหน้า (lean forward)
การเอนตัวไปข้างหลังขณะเท้าแตะพื้นจะดันลำตัวขึ้นสูงและไปข้างหลัง ส่งผลลบกับความเร็วของการวิ่ง
ถ้าลำตัวตั้งตรง แรงส่งส่งใหญ่จะขึ้นด้านบน ไม่ได้ไปข้างหน้าหรือข้างหลัง
อันที่จริง แรงส่ง(จากการถีบ)ขึ้นไปด้านบน (vertical) มีความสำคัญในการวิ่ง ในขณะที่วิ่งด้วยความเร็ว อาจจะมีแรงส่งไปด้านบนในจังหวะถีบส่งมากกว่าแรงส่งไปข้างหน้ากว่า 10 เท่า การพยายามลดแรงส่งไปด้านบนจะส่งผลกระทบทำให้วิ่งช้าลงได้
การเคลื่อนที่ไปข้างหน้าของนักวิ่ง จะเกิดจากแรงส่งไปด้านบนและแรงส่งไปข้างหน้า หลายคนเข้าใจผิดว่า แรงส่งไปด้านบนมากเป็นสิ่งไม่ดี แต่ที่จริงแล้ว ในการวิ่งที่ใช้ความเร็ว แรงส่งไปด้านบนกลับมีบทบาทที่ทำให้การวิ่งได้เร็วมากขึ้น
ถ้าไปดูท่าวิ่งของ Usain Bolt จะเห็นว่า เขาสามารถถีบส่งเกิดแรงไปทางด้านได้สูงกว่าคนอื่น ๆ ในโลก ซึ่งตรงข้ามกับความคิดที่ว่า การเคลื่อนวิ่งต้องเคลื่อนที่ไปข้างหน้า จะต้องสร้างแรงถีบในแนวราบ ไม่ใช่ในแนวดิ่ง ซึ่งสรุปไม่ถูกต้อง
Lean Determines Speed Vector
การเอนตัวไปข้างหน้าจะส่งผลอย่างมากต่อทิศทาง(เว็คเตอร์)การเคลื่อนที่ไปข้างหน้าขณะวิ่ง การเอนไปด้านหลังหรือไม่เอนตัวจึงเป็นท่าที่ไม่ส่งเสริมให้วิ่งไปข้างหน้า
แต่การเอนตัวไปข้างหน้ามากเกินไป จะมีผลกระทบต่อระยะก้าว เพราะนักวิ่งจะรู้สึกลำบากในการพยายามก้าวไปข้างหน้ามากไป
นักวิ่งต้องวิ่งด้วยการเอนตัวในองศาที่เหมาะสม(เอนจากข้อเท้า ไม่ใช่สะโพก) โดยมุมที่เหมาะสมที่เก็บสถิติจากนักวิ่งทั้งนักวิ่งธรรมดาและแนวหน้าคือประมาณ 5 องศา
Drills for Transitioning to a Better Body Lean
การฝึกให้สามารถเอนตัวได้ 5 องศา แนะนำให้เริ่มจากฝึกด้วยเท้าเปล่า เพื่อให้ได้รู้สึกถึงการเคลื่อนไหวของเท้าและการเอนตัว ให้พยายามทำรอบขา 180
ให้ฝึก phase 1 ก่อนเริ่มการซ้อมหลักของวัน ให้ฝึกบ่อย ๆ เท่าที่ทำได้ (อย่างน้อย 2 ครั้งต่อวัน) ขณะทำต้องพยายามทำ 1) ลงกลางเท้า(midfoot) 2) มุม SAT น้อย (6-7 องศา) 3) 180 cadence 4) เอนตัวไปข้างหน้า 5 องศา
ให้ทำจนคิดว่าสามารถทำได้ทั้ง 4 อย่างแล้วจึงค่อยไปฝึกใน phase 2
การ Jog ให้ใช้ easy pace
ให้ฝึกใน phase 2 โดยใส่รองเท้า 2 ครั้งต่อสัปดาห์ เป็นเวลา 2 สัปดาห์ หรือจนกว่าจะสามารถเอนตัวไปข้างหน้าได้ 5 องศา โดยให้ถ่ายคลิปเพื่อเช็คผลการฝึก
การฝึกใน phase 3 กลับมาฝึกด้วยเท้าเปล่า การวิ่ง (run forward) ให้ใช้ tempo pace โดยฝึก 2 ครั้งต่อสัปดาห์ เป็นเวลา 2 สัปดาห์ หรือจนกว่าจะเอนตัวขณะวิ่งได้ดี ให้ได้ท่าวิ่งตามภาพ 9.7
ใน phase 4 เป็นการฝึกโดยใส่รองเท้า ทำ 5 ครั้งต่อวัน 2 สัปดาห์หรือจนกว่าจะสามารถเอนตัวได้
Contrast Runs
ให้เพิ่มการฝึกแบบ contrast run 1-2 ครั้งต่อสัปดาห์ โดยฝึกบนพื้นที่ค่อนข้างนุ่มเพื่อป้องกันการบาดเจ็บ
ระหว่างการฝึกที่แตกต่าง ให้จับความรู้สึกว่าแตกต่างกันอย่างไรระหว่างการวิ่งที่ถูกต้องกับไม่ถูกต้อง และให้รู้สึกได้ว่า การเอนตัวไปข้างหน้าทำให้การวิ่งเร็วขึ้น สบายขึ้น อย่างไร โดยฝึกดังนี้
- วิ่งเท่าเปล่า easy pace 1 นาที อย่าลืมว่าต้องลง midfoot, SAT 6 องศา, รอบขา 180 และเอนตัวไปข้างหลัง
- พัก 30 วินาที ทำแบบข้อ 1 แต่ให้ลำตัวตรง (ไม่เอนไปข้างหลังหรือข้างหน้า)
- พัก 30 วินาที ทำแบบข้อ 1 แต่ให้เอนตัวไปข้างหน้า 5 องศา
- ใส่รองเท้า แล้วทำตามข้อ 1-3 อีกครั้ง
Summary
การเอนตัวไปข้างหน้าจะทำให้แรงถีบส่งไปข้างหน้ามีประสิทธิภาพมากที่สุด แต่ไม่ควรเกิน 5 องศา เพื่อไม่ให้ระยะก้าวสั้นลง
นักวิ่งมักจะปรับองศาการเอนตัวตามสภาพการเอียงของเส้นทางวิ่งโดยอัตโนมัติ โดยเอนตัวไปข้างหน้ามากขึ้นเมื่อวิ่งขึ้นเนิน และเอนไปข้างหลังเมื่อลงเนิน นี่เป็นธรรมชาติของการปรับตัว แต่อย่าเอนตัวไปข้างหน้ามากเกินไปเมื่อวิ่งขึ้นเนิน เพราะจะทำให้ก้าวสั้นลง (baby step) ในขณะวิ่งลงเนิน ถ้าเอนไปข้างหลังมาก จะเกิดแรงเบรกสูงส่งผลให้มีแรงกระแทกมาก
ในการวิ่งลงเนิน ควรจะฝึกสร้างสมดุลของการเคลื่อนไหวให้สอดประสานกันของท่าวิ่งโดยเอนตัวไปข้างหน้าเล็กน้อย (ไม่เอนไปข้างหลัง) จะทำให้เกิดแรงเบรกน้อยส่งผลให้แรงกระแทกน้อย และยังทำให้ประหยัดแรงโดยใช้แรงโน้มถ่วงและ elastic energy ทำให้การวิ่งเร็วขึ้น
ชื่นชมในการแบ่งปันความรู้นะครับ…เป็นประโยชน์มาก…และขอให้พี่ๆๆสมหวังทุกความคิด..และทำประโยชน์ให้ความรู้แบบนี้ไปนานๆๆนะครับ
……..ขอบคุณครับ…..
ถูกใจถูกใจ
ขอบคุณมาก ๆ ครับ ที่เข้ามาอ่านครับ
ถ้ามีคำแนะนำอย่างไร ส่งมาได้เลยครับ
ถูกใจถูกใจ