การเพิ่มประสิทธิภาพการวิ่ง (Running Economy หรือ RE) คือประสิทธิภาพที่ร่างกายของนักวิ่งเปลี่ยนพลังงานเมตาบอลิซึมไปเป็นการเคลื่อนที่ไปข้างหน้า โดยวัดจากปริมาณออกซิเจนที่ต้องการเพื่อรักษาระยะความเร็วที่กำหนด ยิ่งนักวิ่งใช้ปริมาณออกซิเจนน้อยลงที่ความเร็วเท่ากัน แสดงว่ามี RE ที่ดีขึ้น ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยทำนายประสิทธิภาพการวิ่งระยะไกลได้ดีกว่าค่า VO₂max ในกลุ่มนักวิ่งที่มีความสามารถใกล้เคียงกัน
ธีมหลักและแนวคิดสำคัญ:
1. คำจำกัดความและความสำคัญของ RE:

- คำจำกัดความ: RE คือ “ปริมาณออกซิเจนที่ร่างกายต้องการอย่างคงที่ (VO₂) เพื่อรักษาระดับความเร็วในการวิ่งที่กำหนด” หรือ “ประสิทธิภาพที่นักวิ่งเปลี่ยนพลังงานเมตาบอลิซึมไปเป็นการเคลื่อนที่ไปข้างหน้า” (“Running economy is fundamentally defined as the energy demand, typically quantified by oxygen consumption (VO2), required to maintain a given submaximal running velocity.”)
- ความสำคัญ: RE มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อความสำเร็จในการวิ่งระยะไกล สำหรับนักวิ่งที่ผ่านการฝึกฝนมาอย่างดีหรือนักวิ่งชั้นยอดที่มีค่า VO₂max ใกล้เคียงกัน RE มักจะเป็นปัจจัยที่ทำนายผลการแข่งขันได้ดีกว่า VO₂max เอง (“For highly trained or elite runners who possess similar maximal oxygen uptake values, RE frequently emerges as a more robust predictor of race performance than VO2max itself.”)
- การเปรียบเทียบ: เปรียบได้กับ “ประสิทธิภาพการใช้น้ำมันของรถยนต์” (“The concept of running economy can be likened to the fuel efficiency of a vehicle.”) การปรับปรุง RE ช่วยให้นักวิ่งสามารถรักษาระยะความเร็วที่กำหนดได้นานขึ้น หรือวิ่งได้เร็วขึ้นโดยใช้ปริมาณออกซิเจนเท่าเดิม ช่วยลดความเหนื่อยล้าและเพิ่มความทนทาน

2. ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อ RE (เป็นพหุปัจจัย): RE เป็นคุณสมบัติที่ซับซ้อนและได้รับอิทธิพลจากหลายปัจจัย ทั้งทางชีวภาพ กลไก และปัจจัยภายนอก

ปัจจัยทางเมตาบอลิซึม:
- เส้นใยกล้ามเนื้อและประสิทธิภาพของไมโทคอนเดรีย: เส้นใยกล้ามเนื้อชนิด Type I (Slow-twitch) และไมโทคอนเดรียจำนวนมาก ช่วยลดปริมาณออกซิเจนที่จำเป็นสำหรับการสร้างแรง (“A higher proportion of oxidative fibers and more mitochondria means less oxygen needed for a given force output.”)
- การจัดการอุณหภูมิร่างกาย: อุณหภูมิแกนกลางที่สูงขึ้นจะเพิ่มต้นทุนออกซิเจน (“running in heat or with a high core temperature raises oxygen cost (each +1°C can ↑VO₂ by ~5–6%).”)

ปัจจัยทางระบบหัวใจและหลอดเลือด:
- ปริมาณการสูบฉีดเลือดและความจุในการนำพาออกซิเจน: ค่าเหล่านี้สามารถปรับปรุง RE ทางอ้อมได้ แต่เป็นคุณสมบัติที่ค่อนข้างอิสระจาก RE โดยตรง การเต้นของหัวใจหรือการหายใจที่ต่ำลงที่ความเร็วเท่ากันช่วยลด “ค่าใช้จ่าย” ออกซิเจน

ปัจจัยทางระบบประสาทและกล้ามเนื้อ:
- การประสานงานและคุณสมบัติของกล้ามเนื้อ-เอ็น: นักวิ่งที่มีประสิทธิภาพจะใช้การหดตัวและคลายตัวของกล้ามเนื้ออย่างราบรื่น และใช้ประโยชน์จากการเด้งกลับของเอ็น (เช่น เอ็นร้อยหวาย) เพื่อรีไซเคิลพลังงาน (“Efficient runners “recruit” muscle fibers smoothly and exploit elastic recoil (Achilles tendon, foot arch) to recycle energy.”)
- ความแข็งของขา: โดยทั่วไปแล้ว ยิ่งขามีความแข็งมากเท่าไหร่ RE ก็จะยิ่งดีขึ้น โดยเฉพาะที่ความเร็วสูงขึ้น (“Greater leg stiffness (muscle-tendon springiness) generally improves RE, especially at faster speeds.”)

ปัจจัยทางชีวกลศาสตร์/โครงสร้าง:
- มวลกายและสัดส่วนร่างกาย: น้ำหนักตัวทั้งหมดและการกระจายตัวมีผลอย่างมากต่อต้นทุนพลังงาน (“80% of running’s metabolic demand is lifting and propelling body mass.”) นักวิ่งชนชั้นนำของเคนยาและเอธิโอเปียที่มีขาเรียวและน้ำหนักน้อยมักจะมี RE ที่ดี
- รองเท้าและอุปกรณ์: รองเท้าที่เบา มีการรองรับแรงกระแทกที่ดี หรือมีแผ่นคาร์บอนไฟเบอร์สามารถช่วยลด VO₂ ได้ 2-4% (“lightweight, well-cushioned or carbon-plated running shoes can save a few percent in VO₂.”) น้ำหนักส่วนเกินบนตัวหรือรองเท้าจะเพิ่มต้นทุนออกซิเจนอย่างมาก (ประมาณ 1% ต่อ 1 กก. บนลำตัว, 7-14% ต่อ 1 กก. บนเท้า)
- ลักษณะการก้าววิ่ง: การแกว่งตัวในแนวดิ่ง (bounce) ที่น้อยลง และการเลือกความยาวก้าวที่เหมาะสมตามธรรมชาติมักจะประหยัดพลังงานมากกว่า (“runners with less vertical oscillation (“bounce”) and naturally chosen stride length tend to be more economical.”)
- แรงปฏิกิริยาต่อพื้น (GRF) และแรงเบรก: การลดแรงปฏิกิริยาต่อพื้นสูงสุดและแรงเบรกด้านหน้า-หลังจะสัมพันธ์กับ RE ที่ดีขึ้น (“Lower peak ground reaction forces (GRF) and reduced anterior-posterior braking forces are associated with better RE.”)
- การลงเท้า: การลงเท้าใต้สะโพกโดยตรงช่วยลดแรงเบรกให้เหลือน้อยที่สุด (“The ideal foot landing is directly under the hip, which minimizes deceleration or “braking forces”.”) การลงเท้ากลางเท้าโดยทั่วไปประหยัดพลังงานมากกว่าการลงเท้าด้วยส้นเท้า

ปัจจัยทางมานุษยวิทยา:
- ลักษณะทางชีวภาพโดยกำเนิด เช่น ส่วนสูง สัดส่วนไขมันในร่างกาย การกระจายมวลขา และขนาดเท้า ซึ่งเป็นปัจจัยทางพันธุกรรมและเปลี่ยนแปลงได้น้อย (“These anthropometric factors are largely genetic and, consequently, less modifiable through training interventions.”)
- ปัจจัยภายนอก:
- สภาพแวดล้อม: ความร้อนและความสูงสามารถเพิ่มต้นทุนออกซิเจนได้ (“Heat and environmental stress similarly worsen economy: a core temperature rise (or running in very hot conditions) can increase VO₂ at a given pace.”)

3. การวัด RE:
- โดยทั่วไปจะวัดในห้องปฏิบัติการโดยการวิเคราะห์ก๊าซที่ถูกขับออกมาในขณะที่วิ่งบนลู่วิ่งด้วยความเร็วคงที่ต่ำกว่าเกณฑ์แอโรบิก/แลคเตท (“RE is usually measured in the lab on a treadmill… while expired gases are analyzed.”)
- ผลลัพธ์แสดงเป็น VO₂ (ml O₂ ต่อ kg ต่อ นาที) ที่แต่ละความเร็ว หรือปรับเป็นระยะทาง (ml/kg/km)
- นักวิ่งมาราธอนระดับโลกมีค่า O₂ ประมาณ 40-45 ml·kg⁻¹·min⁻¹ ที่ 16 กม./ชม.

4. การเปลี่ยนแปลงของ RE ตามความเร็วและสภาวะ:
- RE มีความเกี่ยวข้องมากที่สุดกับความเร็วที่ใช้ในการแข่งขัน (“RE is most relevant at race-specific paces.”)
- ที่ความเข้มข้นสูงขึ้น (ใกล้หรือสูงกว่าเกณฑ์) ต้นทุนออกซิเจนและ RE จะไวต่อความเหนื่อยล้าและเทคนิคมากขึ้น (“At higher intensities (near or above threshold), oxygen cost and economy become more sensitive to fatigue and technique.”)
- RE จะแย่ลงระหว่างการออกกำลังกายที่ prolonged (นาน) หรือเมื่อวิ่งในสภาพอากาศร้อน อ่อนเพลีย หรือขาดน้ำ (“Economy also deteriorates during prolonged exercise.”)

5. กลยุทธ์ในการปรับปรุง RE (ต้องใช้ความสม่ำเสมอและเวลา): การปรับปรุง RE เป็นความพยายามที่ซับซ้อนซึ่งเกี่ยวข้องกับการเพิ่มประสิทธิภาพด้านต่างๆ ของการฝึก การเคลื่อนไหวทางชีวกลศาสตร์ โภชนาการ และการใช้ชีวิต

- สร้างฐานแอโรบิก: การเพิ่มระยะทางและระยะเวลาการฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอจะช่วยปรับปรุง RE ตามธรรมชาติ (“Increasing mileage and years of training naturally improves economy.”)
- การฝึกแบบ Interval และ Threshold: การวิ่ง Tempo และ Interval ตามความเร็วในการแข่งขันจะช่วยให้ร่างกายคงความเร็วที่เร็วขึ้นได้อย่างประหยัด (“Tempo runs (at lactate threshold pace) and race-pace intervals teach your body to sustain faster paces economically.”)

- การฝึกความแข็งแรงและ Plyometrics: การฝึกความแข็งแรงโดยใช้น้ำหนักมาก (เช่น squat, deadlift) และการออกกำลังกายแบบ plyometrics (เช่น กระโดด) เป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพที่สุดวิธีหนึ่งในการปรับปรุง RE ซึ่งช่วยเพิ่มการใช้พลังงานยืดหยุ่นและการคืนพลังงาน (“Twice-weekly resistance training is one of the most effective methods to improve RE. … Plyometric exercises (jumps, bounds, medicine-ball throws) enhance tendon stiffness and explosive power, which improves elastic energy return during running.”) มีรายงานว่าการฝึกความแข็งแรง/กำลังสามารถปรับปรุง RE ได้ 5-8%


- การฝึกเทคนิคการวิ่ง: การฝึกซ้อม (drills) เช่น A-skips, high-knees ช่วยเสริมสร้างฟอร์มที่ดี (“Drills like A-skips, high-knees, butt kicks, strides and hurdle hops reinforce good form (upright posture, hip extension, quick leg turnover) without the speed and fatigue of full runs.”) คิวภายนอก (external cues) เช่น “ผลักพื้นไปข้างหลัง” มีประสิทธิภาพมากกว่าคิวภายใน (internal cues)

- รองเท้าและอุปกรณ์: รองเท้าที่มีน้ำหนักเบาและมีเทคโนโลยีที่เหมาะสมสามารถปรับปรุง RE ได้ (“Modern racing shoes with carbon plates or high-energy foam can improve economy ~2–4% for many runners.”)

- โภชนาการและอาหารเสริม: ไนเตรตในอาหาร (เช่น น้ำบีทรูท) และคาเฟอีนสามารถลดความต้องการออกซิเจนได้เล็กน้อย (“Dietary nitrates (e.g. beetroot juice) and caffeine have been shown to reduce oxygen demand at a given power by a few percent.”) การดื่มน้ำให้เพียงพอและรักษาสภาวะไม่ร้อนเกินไปก็สำคัญ

โภชนาการ: รากฐานของการเพิ่มประสิทธิภาพ
- ไม่ได้มีบทบาทแค่ “ให้พลังงาน” แต่ยังสนับสนุนการซ่อมแซมกล้ามเนื้อ ฟื้นตัวเร็ว ป้องกันการบาดเจ็บ และรักษาสมรรถภาพทางจิตใจ
- ส่งผลต่อ RE ทั้งทางตรง (ลดปริมาณ O₂ ที่ต้องใช้ที่ความเร็วหนึ่ง ๆ) และทางอ้อม (ทำให้ฝึกซ้อมได้คุณภาพสูงขึ้น ฟื้นตัวเร็วขึ้น)
สมดุลสารอาหารหลัก (Macronutrient Balance)
- คาร์โบไฮเดรต 60–70%: แหล่งพลังงานหลักสำหรับการฝึกที่ใช้ความอดทน
- โปรตีน 15–20%: ซ่อมแซมและสร้างกล้ามเนื้อหลังการฝึกหนัก
- ไขมันดี 15–20%: สนับสนุนพลังงานระยะยาวและสุขภาพฮอร์โมน
Timing ของการรับประทาน (Nutrient Timing)
- ก่อนวิ่ง: มื้อหลัก (2–3 ชม.) เน้นคาร์บเชิงซ้อน+โปรตีน / ของว่างคาร์บย่อยง่าย (30–60 นาที) เพื่อพลังงานทันที
- ระหว่างวิ่ง (>1 ชม.): คาร์บย่อยง่าย + น้ำ/เกลือแร่ เพื่อป้องกันภาวะขาดน้ำและตะคริว
- หลังวิ่ง (30–60 นาที): คาร์บ+โปรตีน เพื่อเติมไกลโคเจนและซ่อมแซมกล้ามเนื้อ
สารอาหารรองและอาหารเสริมที่สำคัญ
- วิตามิน D + แคลเซียม → สุขภาพกระดูก
- ธาตุเหล็ก + วิตามิน C → เพิ่มการขนส่งออกซิเจน
- น้ำบีทรูท → ลดความต้องการ O₂ ระหว่างวิ่ง
- คาเฟอีน → เพิ่ม RE ในบางคน
- BCAAs, ผงโปรตีน, เกลือแร่, โอเมก้า 3 → เร่งฟื้นตัว, ลดการสลายกล้ามเนื้อ, ลดความล้า

ไฮเดรชันและการควบคุมความร้อน
- ภาวะขาดน้ำแม้เพียงเล็กน้อย หรือความร้อนสูงเกินไป จะเพิ่มการใช้ออกซิเจน → ลด RE
- การรักษา euhydration และการจัดการอุณหภูมิร่างกายเป็นเงื่อนไขสำคัญ
ภาพรวมในบริบทของ RE
เมื่อโภชนาการถูกวางไว้เป็น “แผนกลยุทธ์” ร่วมกับการฝึกซ้อม การนอนหลับ และการจัดการความเครียด จะช่วยสร้างรากฐานให้ RE ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งโดยการลดความต้องการ O₂ ในการเคลื่อนไหว และเพิ่มประสิทธิภาพของการฝึกในระยะยาว
| หมวดหมู่สารอาหาร/ช่วงเวลา | คำแนะนำ | วัตถุประสงค์/ประโยชน์ |
|---|---|---|
| สมดุลสารอาหารหลัก | คาร์โบไฮเดรต 60–70%, โปรตีน 15–20%, ไขมัน 15–20% | พลังงานที่ยั่งยืน, ซ่อมแซมกล้ามเนื้อ, สุขภาพโดยรวม |
| การเติมเชื้อเพลิงก่อนวิ่ง | มื้อหลัก 2–3 ชม. ก่อนวิ่ง (คาร์บเชิงซ้อน + โปรตีน), ของว่าง 30–60 นาที (คาร์บเชิงเดี่ยว) | ให้พลังงานทันที/ต่อเนื่อง, ป้องกันอาการไม่สบายท้อง |
| การเติมเชื้อเพลิงระหว่างวิ่ง | คาร์บย่อยง่าย (เจล/กัมมี/ขนมผลไม้) + น้ำหรือเครื่องดื่มเกลือแร่ สำหรับระยะ > 1 ชม. | รักษาระดับพลังงาน, ป้องกันภาวะขาดน้ำ/ตะคริว |
| การฟื้นตัวหลังวิ่ง | คาร์โบไฮเดรต + โปรตีน ภายใน 30–60 นาทีหลังวิ่ง | เติมไกลโคเจน, ซ่อมแซมกล้ามเนื้อ, เพิ่มประสิทธิภาพการฟื้นตัว |
| สารอาหารรองสำคัญ | วิตามิน D, แคลเซียม, ธาตุเหล็ก (ทานคู่วิตามิน C) | สุขภาพกระดูก, การขนส่งออกซิเจน, ป้องกันการขาดสารอาหาร |
| อาหารเสริม | น้ำบีทรูท, คาร์บเชิงซ้อน, ผงโปรตีน, เกลือแร่, BCAAs, โอเมก้า 3 | เพิ่มประสิทธิภาพ, ลดความเหนื่อยล้า, ช่วยในการฟื้นตัว |
- เวลาที่ใช้ในการปรับปรุง: การปรับปรุงต้องใช้เวลาเป็นสัปดาห์ถึงหลายเดือนของการฝึกฝนที่สม่ำเสมอ (“Large-scale adaptations (e.g. improved mitochondrial density or muscle strength) typically take weeks to months of consistent training.”)
6. อุปสรรคและสาเหตุที่ทำให้ RE ลดลง:
- ความเหนื่อยล้าและการฝึกมากเกินไป: ความเหนื่อยล้าเรื้อรัง การเจ็บป่วย หรือการฟื้นตัวไม่เพียงพอทำให้การวิ่งแต่ละครั้งรู้สึกหนัก และ RE อาจลดลง (“Chronic fatigue, illness or inadequate recovery make every run feel heavy. Overtraining can cause VO₂ for a given speed to creep up.”)
- ความร้อน ความสูง หรือความเครียดจากสิ่งแวดล้อม: การวิ่งในสภาพอากาศร้อนหรือที่สูงโดยไม่มีการปรับตัวจะเพิ่มต้นทุนออกซิเจน (“Running in high heat or altitude without acclimation increases oxygen cost.”)
- การบาดเจ็บหรือจุดอ่อน: กล้ามเนื้อแกนกลางอ่อนแอ สะโพกตึง หรือกล้ามเนื้อขาตึงสามารถทำให้เกิดการเคลื่อนไหวที่ไม่มีประสิทธิภาพและส่งผลต่อ RE (“Core weakness, tight hips or leg muscles can force compensatory, inefficient movements.”)
- อายุและการไม่ได้ฝึกฝน: อายุที่มากขึ้นและการหยุดพักการวิ่งเป็นเวลานานอาจทำให้ RE ลดลงได้ (“Running economy has been found to decline with age, possibly due to a reduced ability to store and utilize elastic energy.”) อย่างไรก็ตาม นักวิ่งสูงอายุที่ยังคงกระฉับกระเฉงสามารถรักษาประสิทธิภาพการใช้น้ำมันไว้ได้เกือบเท่ากับนักวิ่งที่อายุน้อยกว่ามาก
- ชีวกลศาสตร์ที่ไม่เหมาะสม: การลงเท้าที่เบรกแรง (deceleration) หรือการก้าวเลยจุดศูนย์ถ่วงของร่างกาย (overstriding) จะลดประสิทธิภาพลงอย่างมาก (“Decreasing speed during ground contact (deceleration), which is the least economical factor regardless of contact time.”)



7. คำแนะนำสำหรับนักวิ่งแต่ละประเภท:
- นักวิ่งเริ่มต้น: เน้นการสร้างนิสัยการวิ่งที่สม่ำเสมอและฟอร์มพื้นฐาน ควรค่อยๆ เพิ่มระยะทางเพื่อหลีกเลี่ยงการบาดเจ็บ (“For beginner runners, the primary focus should be on building a foundational running base and allowing the body to naturally adapt to the demands of running.”)
- นักวิ่งระดับกลาง: สามารถเพิ่มการฝึกที่เฉพาะเจาะจงมากขึ้น เช่น การวิ่ง Interval และการฝึกความแข็งแรง 1-2 ครั้งต่อสัปดาห์ (“Begin structured intervals (tempo runs, 5K–10K repeats) and 1–2 weekly strength sessions.”)
- นักวิ่งขั้นสูง/นักวิ่งแข่งขัน: มุ่งเน้นการปรับปรุงเล็กน้อย เช่น การวิเคราะห์ท่าวิ่งกับโค้ช การเลือกใช้รองเท้าแข่งขันที่เหมาะสมที่สุด และการฝึกที่ระดับความสูง (“Focus on fine-tuning: gait analysis with a coach, choosing the optimal racing shoe, and possibly training at altitude or with hypoxia.”) ควรให้ความสำคัญกับการฟื้นตัว
- นักวิ่งที่มีข้อจำกัด/การบาดเจ็บ: เน้นการพักผ่อนและการฟื้นตัวอย่างปลอดภัย การกลับมาวิ่งอย่างค่อยเป็นค่อยไป การฝึกแบบ Cross-training และการฝึกความแข็งแรงและการเคลื่อนไหว (“Prioritize rest and recovery. … Incorporate low-impact cross-training.”)
- นักวิ่งสูงอายุ: การรักษากิจกรรมทางกายภาพเป็นสิ่งสำคัญในการรักษา RE และสุขภาพโดยรวม (“Maintain Activity: Evidence suggests that older runners (over 65) can maintain their running economy at rates comparable to much younger runners, even if their gait patterns change, provided they remain active.”)
โดยสรุป: Running Economy เป็นคุณสมบัติแบบองค์รวม การปรับปรุงหมายถึงการทำงานในเกือบทุกด้านของการวิ่ง ทั้งด้านสรีรวิทยา กลไก ความแข็งแรง และวิถีชีวิต แม้ว่าพันธุกรรมและสรีรวิทยาจะเป็นตัวกำหนดขีดจำกัด แต่ก็สามารถทำอะไรได้มากมายด้วยการฝึกฝนที่ตรงเป้าหมาย ด้วยความอดทนและสม่ำเสมอ นักวิ่งส่วนใหญ่สามารถปรับปรุง RE ของตนเองได้อย่างพอประมาณ และการปรับปรุงเพียงไม่กี่เปอร์เซ็นต์นี้ก็สามารถแปลเป็นเวลาที่ลดลงอย่างมีค่าในการแข่งขันได้ (“Running economy is a composite characteristic. Improving it means working on almost every aspect of your running: physiology, mechanics, strength and lifestyle.”)
