โปรแกรมฝึกวิ่งมาราธอนและฮาล์ฟมาราธอน

CityTrailRunners Gang's avatarส่งโดย

หลักการฝึกซ้อมทางวิทยาศาสตร์ของ ดร. แจ็ค แดเนียลส์ สำหรับการวิ่งระยะทางไกล โดยเฉพาะมาราธอนและฮาล์ฟมาราธอน โดยเน้นย้ำว่ามาราธอนแตกต่างจากระยะสั้นเพราะส่วนใหญ่จะวิ่ง ต่ำกว่าเกณฑ์แลคเตท ซึ่งทำให้ความเหนื่อยล้าเกิดจากการขาดแคลนเชื้อเพลิงมากกว่าการสะสมกรดแลคติก หัวใจสำคัญของวิธีการนี้คือการกำหนดความเข้มข้นในการฝึกซ้อมอย่างแม่นยำผ่านตัวชี้วัด VDOT เพื่อให้ทุก ๆ ไมล์มีวัตถุประสงค์ทางสรีรวิทยาที่ชัดเจน โปรแกรมฝึกซ้อมถูกแบ่งออกเป็นหลายรูปแบบตามเป้าหมายของนักวิ่ง รวมถึง โปรแกรม A สำหรับนักวิ่งทั่วไปที่ต้องการพัฒนาประสิทธิภาพ และ โปรแกรม Elite สำหรับนักวิ่งที่มีปริมาณการวิ่งต่อสัปดาห์สูงมาก นอกจากนี้ยังมีแผน 18 สัปดาห์สำหรับผู้เริ่มต้น ซึ่งเน้นที่การสร้างความทนทานของโครงสร้างกล้ามเนื้อ และการจำกัดระยะเวลาการวิ่งยาวไว้ไม่เกิน 2.5 ชั่วโมง เพื่อลดความเสี่ยงของการบาดเจ็บ การปฏิบัติตามความเร็วในการฝึกที่เหมาะสมกับสมรรถภาพปัจจุบันจึงเป็นสิ่งสำคัญที่สุดสำหรับการทำนายและบรรลุผลการแข่งขันที่คาดหวังได้จริง

1. ความแตกต่างทางสรีรวิทยาของการวิ่งทางไกล

สูตรการวิ่งของแดเนียลส์ (Daniels’ Running Formula) ได้เน้นย้ำถึง ความแตกต่างทางสรีรวิทยา (Physiological Differences) ที่สำคัญระหว่างการแข่งขันวิ่งทางไกล (ฮาล์ฟมาราธอนและมาราธอน) กับการแข่งขันระยะสั้น (เช่น 5K หรือ 10K) ซึ่งความแตกต่างนี้เป็นรากฐานในการออกแบบโปรแกรมการฝึกซ้อมที่เฉพาะเจาะจงเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพสูงสุด.

1.1 การวิ่งต่ำกว่าเกณฑ์แลคเตท (Sub-Lactate Threshold Running)

สิ่งที่แหล่งข้อมูลระบุว่าเป็นตัวแบ่งแยกระยะมาราธอน (และระยะทางยาวอื่น ๆ ที่ใช้เวลาวิ่งมากกว่าหนึ่งชั่วโมง) ออกจากการแข่งขันที่สั้นกว่าคือ นักวิ่งจะวิ่งส่วนใหญ่ของการแข่งขันในระดับความเข้มข้นที่ต่ำกว่าเกณฑ์แลคเตท (Lactate Threshold). การวิ่งต่ำกว่าเกณฑ์นี้มีผลกระทบทางสรีรวิทยาที่สำคัญหลายประการ:

  • การสะสมกรดแลคติกที่จำกัด: นักวิ่งส่วนใหญ่จะไม่เกิดการสะสมกรดแลคติกมากนัก. การสะสมแลคติกจะถูกจำกัดอยู่ในช่วงเวลาสั้น ๆ ของการแข่งขันเท่านั้น เช่น ในช่วงเริ่มต้นและช่วงสุดท้าย.
  • ปราศจากความเครียดของกล้ามเนื้อเฉพาะที่ (Local Muscular Stress): นักวิ่งมาราธอนมักจะไม่ประสบปัญหาความเจ็บปวดเฉพาะที่ที่มักเกิดขึ้นระหว่างการแข่งขัน 5K หรือ 10K.
  • การระบายอากาศที่สบาย: การหายใจ (Ventilation) ค่อนข้างสบายตลอดการแข่งขัน.
  • อัตราการเต้นของหัวใจไม่ถึงค่าสูงสุด: หากมีการวัดอัตราการเต้นของหัวใจ อัตราดังกล่าวจะไม่ถึงค่าสูงสุด เหมือนกับการแข่งขันในระยะทางที่สั้นกว่า.

1.1.1 ตัวจำกัดหลักทางสรีรวิทยาในการวิ่งทางไกล

เมื่อการสะสมแลคเตทไม่เป็นข้อจำกัดหลัก เป้าหมายและอุปสรรคทางสรีรวิทยาจึงเปลี่ยนไป. การวิ่งระยะยาวสร้างความต้องการที่สำคัญต่อระบบร่างกายในด้านที่การวิ่งระยะสั้นไม่จำเป็นต้องให้ความสำคัญมากนัก:

  • อุปทานเชื้อเพลิงคาร์โบไฮเดรต (Glycogen Economics): มาราธอนต้องการเชื้อเพลิงคาร์โบไฮเดรตในปริมาณมาก เนื่องจากร่างกายเก็บไกลโคเจนไว้ในกล้ามเนื้อและตับในปริมาณที่จำกัด ซึ่งโดยทั่วไปเพียงพอสำหรับการวิ่งที่ความเข้มข้นสูงเพียง 90 ถึง 120 นาทีเท่านั้น. ความเหนื่อยล้า (Fatigue) ในมาราธอนจึงแสดงออกในรูปแบบที่ละเอียดอ่อนกว่าและมักเกิดจากการ เชื้อเพลิงหมด (Glycogen Depletion) มากกว่าความล้มเหลวของเส้นใยกล้ามเนื้อหรือความเป็นกรด.
  • การควบคุมอุณหภูมิร่างกาย (Thermoregulation): กลไกการควบคุมอุณหภูมิร่างกายเป็นสิ่งจำเป็น เนื่องจากความร้อนจะสะสมตลอดการแข่งขันที่กินเวลานานกว่า 2 ชั่วโมง.
  • สมดุลของของเหลว (Fluid Maintenance): การรักษาสมดุลของของเหลวในร่างกาย (hydration) เป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพการแข่งขัน.
  • ความทนทานเชิงโครงสร้าง (Structural Durability): ระยะเวลาที่ยาวนานของมาราธอนสร้างความเครียดทางกลไกอย่างมากต่อเอ็นยึดข้อต่อ เอ็น และกล้ามเนื้อ จึงต้องมีการปรับตัวของโครงสร้างเพื่อทนทานต่อแรงกระแทกนับหมื่นครั้ง.

1.1.2 นัยยะต่อวัตถุประสงค์ในการฝึกซ้อม

เนื่องจากนักวิ่งส่วนใหญ่วิ่งต่ำกว่าเกณฑ์แลคเตท วัตถุประสงค์หลักของการฝึกมาราธอนตามสูตรของแดเนียลส์จึงไม่ใช่การเพิ่มความทนทานต่อความเป็นกรด (Anaerobic Capacity).

  • การยกระดับเกณฑ์แลคเตท (Elevating Lactate Threshold): เป้าหมายหลักคือการ เพิ่มความเร็วที่นักวิ่งสามารถวิ่งได้ในขณะที่ยังคงใช้ระบบแอโรบิกเป็นหลัก. หากความเร็วเกณฑ์แลคเตทเพิ่มขึ้น เพซมาราธอนที่อยู่ต่ำกว่าเกณฑ์ก็จะเพิ่มขึ้นตามไปด้วย.
  • การประหยัดไกลโคเจน (Glycogen Sparing): โปรแกรมการฝึกซ้อมจะกำหนดเพซง่าย (E) และเพซมาราธอน (M) เพื่อกระตุ้นให้ร่างกายเพิ่มกิจกรรมของเอนไซม์ที่จำเป็นในการออกซิไดซ์กรดไขมัน (Fat Oxidation) ซึ่งช่วยสงวนไกลโคเจนสำหรับการวิ่งในช่วงท้าย.
  • ความจำเพาะต่อการแข่งขัน: การวิ่งที่เพซมาราธอน (M) ถูกออกแบบมาเพื่อสร้างความจำเพาะต่อการแข่งขัน, การปรับตัวทางเศรษฐศาสตร์แอโรบิก (aerobic economy) และการฝึกการดื่มระหว่างการวิ่ง.

1.1.3 ความแตกต่างทางสรีรวิทยาของฮาล์ฟมาราธอน

สำหรับระยะฮาล์ฟมาราธอนนั้น ความต้องการทางสรีรวิทยาจะแตกต่างกันอย่างมากตามความเร็วของนักวิ่ง:

  • สำหรับนักวิ่งชั้นนำ: ผู้ที่วิ่งฮาล์ฟมาราธอนได้ในเวลาประมาณ 1 ชั่วโมง. สำหรับคนกลุ่มนี้ ฮาล์ฟมาราธอนถือเป็น “การทดสอบเกณฑ์แลคเตทขั้นสูงสุด” (ultimate test of lactate threshold). พวกเขาจึงควรฝึกซ้อมโดยเน้นการฝึกซ้อมช่วง (Intervals) และการฝึกซ้อมแบบเกณฑ์ (Threshold Training) เหมือนกับการเตรียมตัววิ่ง 10K.
  • สำหรับนักวิ่งทั่วไป: ผู้ที่วิ่งฮาล์ฟมาราธอนใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง. สำหรับคนกลุ่มนี้ ความเครียดทางสรีรวิทยาหลายอย่างจะคล้ายกับสิ่งที่พวกเขาต้องเผชิญในการวิ่งมาราธอน เช่น ความร้อนและการขาดน้ำ. ดังนั้น แดเนียลส์จึงแนะนำให้คนกลุ่มนี้ ปฏิบัติตามตารางการฝึกมาราธอน โดยเน้นที่ความทนทานและเพซมาราธอน.

กล่าวโดยสรุป ความเข้าใจในความแตกต่างทางสรีรวิทยาที่ว่าการวิ่งทางไกลเป็นการทดสอบความทนทานต่อการหมดเชื้อเพลิง การจัดการความร้อน และการยกระดับเกณฑ์แลคเตท (แทนที่จะเป็นความทนทานต่อความเป็นกรด) เป็นหัวใจสำคัญในการสร้างสูตรการวิ่งของแดเนียลส์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการออกแบบเพซและปริมาณของการฝึกซ้อมเพื่อหลีกเลี่ยง “ระยะทางที่ไร้ประโยชน์” (junk miles).

หากเปรียบเทียบ การวิ่ง 5K นั้นเหมือนกับการทดสอบเครื่องยนต์รถแข่งในระยะเวลาสั้น ๆ ที่รอบเครื่องสูงสุด (วัดความทนทานต่อความเป็นกรด) แต่การวิ่งมาราธอนนั้นเหมือนกับการทดสอบรถยนต์ครอบครัวในการเดินทางข้ามประเทศอย่างต่อเนื่อง (วัดประสิทธิภาพการใช้เชื้อเพลิง ความสบายในการขับขี่ และความทนทานของตัวถัง) ภายใต้ความเข้มข้นที่ต่ำกว่า.

1.2 ปัจจัยที่จำกัดประสิทธิภาพหลักการวิ่งทางไกล (มาราธอนและฮาล์ฟมาราธอน)

สูตรการวิ่งของแดเนียลส์ (Daniels’ Running Formula) ได้กำหนดความแตกต่างทางสรีรวิทยาของการวิ่งทางไกล (มาราธอนและฮาล์ฟมาราธอน) โดยชี้ให้เห็นว่าปัจจัยที่จำกัดประสิทธิภาพหลัก ๆ ในการแข่งขันเหล่านี้แตกต่างอย่างสิ้นเชิงจากการแข่งขันระยะสั้น (5K หรือ 10K) ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญในการออกแบบโปรแกรมการฝึกซ้อมที่เน้นความจำเพาะต่อการแข่งขัน.

ปัจจัยจำกัดหลักในการวิ่งทางไกลมักจะเกี่ยวข้องกับการจัดการพลังงานและความทนทานเชิงโครงสร้าง มากกว่าความสามารถในการทนต่อความเป็นกรดของกล้ามเนื้อ

1.2.1 พื้นฐานทางสรีรวิทยา: การวิ่งต่ำกว่าเกณฑ์แลคเตท

ปัจจัยสำคัญที่แยกการวิ่งมาราธอน (และระยะทางยาวที่ใช้เวลาวิ่งมากกว่าหนึ่งชั่วโมง) ออกจากการวิ่งระยะสั้นคือ นักวิ่งจะวิ่งส่วนใหญ่ของการแข่งขันต่ำกว่าเกณฑ์แลคเตท (Lactate Threshold) ซึ่งส่งผลให้ความเป็นกรดในร่างกายไม่ใช่ปัจจัยจำกัดหลัก:

  • การสะสมกรดแลคติกที่จำกัด: การสะสมแลคติกมีจำกัดและเกิดขึ้นเพียงช่วงสั้น ๆ (เช่น ช่วงเริ่มต้นและช่วงสุดท้าย)
  • ปราศจากความเครียดเฉพาะที่: นักวิ่งจะไม่ประสบปัญหาความเจ็บปวดเฉพาะที่ของกล้ามเนื้อเหมือนที่เกิดขึ้นในการวิ่ง 5K หรือ 10K
  • อัตราการเต้นของหัวใจต่ำกว่าค่าสูงสุด: อัตราการเต้นของหัวใจจะไม่ถึงค่าสูงสุด
  • การระบายอากาศสบาย: การหายใจค่อนข้างสบายตลอดการแข่งขัน

ดังนั้น แดเนียลส์จึงระบุว่า เป้าหมายหลักของการฝึกมาราธอนจึงไม่ใช่การเพิ่มความทนทานต่อความเป็นกรด (anaerobic capacity) แต่เป็นการยกระดับระบบแอโรบิกทั้งหมดให้สูงขึ้น

1.2.2 ปัจจัยจำกัดหลักในการวิ่งมาราธอน (The Primary Limiters)

เมื่อความเป็นกรดไม่เป็นข้อจำกัดหลัก ปัจจัยอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับระยะเวลาที่ยาวนานของการแข่งขันจะเข้ามาแทนที่ โดยมีรายละเอียดดังนี้:

  1. การหมดเชื้อเพลิงคาร์โบไฮเดรต (Carbohydrate Fuel Supply):
    • การแข่งขันระยะยาวสร้าง ความต้องการที่สำคัญต่ออุปทานเชื้อเพลิงคาร์โบไฮเดรต เนื่องจากร่างกายเก็บไกลโคเจนไว้ในปริมาณที่จำกัด ซึ่งโดยทั่วไปเพียงพอสำหรับการวิ่งความเข้มข้นสูงเพียง 90 ถึง 120 นาทีเท่านั้น
    • ความเหนื่อยล้า (Fatigue) ในมาราธอนจึงเกิดขึ้นในรูปแบบที่ละเอียดอ่อนกว่าการวิ่งระยะสั้น โดยมักแสดงออกมาในรูปของการ เชื้อเพลิงหมดลง (depletion of fuel) (Glycogen Depletion) มากกว่าความล้มเหลวของเส้นใยกล้ามเนื้อ
  2. การควบคุมอุณหภูมิร่างกาย (Body Temperature Mechanisms):
    • การแข่งขันที่กินเวลานานกว่าสองชั่วโมง ทำให้เกิดความต้องการอย่างมากต่อ กลไกการควบคุมอุณหภูมิร่างกาย เนื่องจากความร้อนจะสะสมตลอดการแข่งขัน
  3. การรักษาสมดุลของของเหลว (Fluid Maintenance):
    • การรักษา สมดุลของของเหลวในร่างกาย และการให้น้ำ (hydration) เป็นปัจจัยสำคัญที่อาจส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพในการแข่งขัน
  4. ความทนทานเชิงโครงสร้าง (Structural Durability):
    • ระยะทางที่ยาวนานมากและแรงกระแทกซ้ำ ๆ สร้าง ความเครียดทางกลไกอย่างมาก (massive mechanical stress) ต่อเอ็นยึดข้อต่อ เอ็น และกล้ามเนื้อ การฝึกซ้อมจึงต้องพัฒนาความทนทานของโครงสร้างกล้ามเนื้อและกระดูกเพื่อรองรับ แรงกระแทกนับหมื่นครั้ง

1.2.3 ปัจจัยจำกัดในฮาล์ฟมาราธอน (Half-Marathon Limiters)

สูตรของแดเนียลส์ระบุว่าปัจจัยจำกัดหลักสำหรับฮาล์ฟมาราธอนจะแตกต่างกันไปตามระดับความสามารถของนักวิ่ง:

  • สำหรับนักวิ่งชั้นนำ (Elite Runners): ผู้ที่วิ่งได้ในเวลาประมาณ 1 ชั่วโมง. สำหรับคนกลุ่มนี้ ฮาล์ฟมาราธอนคือ “การทดสอบเกณฑ์แลคเตทขั้นสูงสุด” (ultimate test of lactate threshold) ดังนั้น ปัจจัยจำกัดหลักคือ ความเร็วสูงสุดที่พวกเขาสามารถรักษาระดับเกณฑ์แลคเตทไว้ได้ (the intensity that can be maintained for just about one hour)
  • สำหรับนักวิ่งทั่วไป (Recreational Runners): ผู้ที่วิ่งใช้เวลาประมาณสองชั่วโมง. ปัจจัยจำกัดหลักจะคล้ายกับมาราธอน นั่นคือ ความร้อน (heat) และภาวะขาดน้ำ (dehydration) ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าสำหรับนักวิ่งกลุ่มนี้ ฮาล์ฟมาราธอนเป็นเหตุการณ์ที่ท้าทายในเชิงการจัดการเชื้อเพลิงและความทนทานเช่นเดียวกับมาราธอนขนาดย่อม

1.2.4 การฝึกซ้อมเพื่อจัดการปัจจัยจำกัด

ด้วยปัจจัยจำกัดเหล่านี้ แดเนียลส์จึงออกแบบโปรแกรมฝึกซ้อมมาราธอนให้เน้นการปรับตัวทางสรีรวิทยาเพื่อรับมือกับข้อจำกัดเหล่านี้:

  • การยกระดับเกณฑ์แลคเตท (T Pace): การฝึกซ้อมแบบเกณฑ์ (Threshold Training) มีเป้าหมายเพื่อ ยกระดับเกณฑ์แลคเตท ซึ่งจะเพิ่มความเร็วที่นักวิ่งสามารถวิ่งในเพซมาราธอนที่อยู่ต่ำกว่าเกณฑ์ได้
  • การประหยัดไกลโคเจน (M and E Pace): การฝึกซ้อมด้วยเพซง่าย (Easy – E) และเพซมาราธอน (Marathon – M) จะช่วยปรับปรุงเศรษฐศาสตร์แอโรบิกและกระตุ้นการทำงานของเอนไซม์ที่ใช้ ออกซิไดซ์กรดไขมัน (fatty acids) เพื่อให้ร่างกายสามารถสงวนไกลโคเจนไว้ใช้ในช่วงท้ายของการแข่งขันได้ (Glycogen Sparing)
  • ความจำเพาะและการฝึกปฏิบัติ: เพซมาราธอน (M) ถูกใช้ในการฝึกซ้อมเพื่อสร้างความจำเพาะต่อการแข่งขัน การปรับตัวทางเศรษฐศาสตร์แอโรบิก และเป็นช่วงเวลาสำหรับการ ฝึกปฏิบัติการดื่ม และการเติมเชื้อเพลิงระหว่างวิ่ง

สูตรของแดเนียลส์จึงเปรียบเสมือนการฝึกนักวิ่งให้กลายเป็น เครื่องจักรที่มีประสิทธิภาพด้านเชื้อเพลิง โดยมีการปรับปรุงประสิทธิภาพที่ระดับการวิ่งต่ำกว่าความพยายามสูงสุด เพื่อให้แน่ใจว่าเครื่องยนต์ (หัวใจและกล้ามเนื้อ) จะสามารถทำงานได้อย่างต่อเนื่องและมีเชื้อเพลิงเพียงพอสำหรับการเดินทางที่ยาวนานที่สุด.

2. โซนความเข้มข้นของการฝึก (5 Paces)

สูตรการวิ่งของแดเนียลส์ (Daniels’ Running Formula) อาศัยการจำแนกความเข้มข้นของการฝึกซ้อมออกเป็นโซนที่แม่นยำ 5 ระดับ (Paces) เพื่อให้แน่ใจว่าการฝึกซ้อมทุกไมล์มีวัตถุประสงค์ทางสรีรวิทยาที่ชัดเจน และเป็นการทำงานที่ “น้อยที่สุดเพื่อให้ได้ผลลัพธ์สูงสุด”. การกำหนดเพซเหล่านี้ใช้คะแนน VDOT ซึ่งประเมินความสามารถในการวิ่งปัจจุบันของนักกีฬา

ในบริบทของสูตรการวิ่งของแดเนียลส์ (Daniels’ Running Formula) สำหรับการวิ่งฮาล์ฟมาราธอนและมาราธอนนั้น อัตราความเข้มข้นของการฝึกซ้อมแบบ Easy (E) และ Long (L) ถือเป็นรากฐานที่สำคัญที่สุดของโปรแกรม โดยมีเป้าหมายหลักในการสร้างฐานทางแอโรบิกที่แข็งแกร่งและความทนทานเชิงโครงสร้าง เพื่อรับมือกับความต้องการทางสรีรวิทยาของการวิ่งระยะไกล ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการวิ่งที่ ต่ำกว่าเกณฑ์แลคเตท

2.1 E Pace (Easy Running – เพซง่าย)

เพซง่าย (E) เป็นการวิ่งที่ความเข้มข้นต่ำสุดในห้าโซนการฝึกของแดเนียลส์ (59–74% ของ VO2max) และเป็นส่วนที่ใช้ในการสะสมระยะทางรวมรายสัปดาห์ (Weekly Mileage Goal)

วัตถุประสงค์ทางสรีรวิทยา:

  • การปรับตัวระดับเซลล์: E pace มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการเปลี่ยนแปลงของเซลล์ เช่น การสร้างไมโทคอนเดรีย (mitochondrial biogenesis) ซึ่งเป็นแหล่งพลังงานของเซลล์ และเพิ่มความหนาแน่นของหลอดเลือดฝอย (capillary density) (การเกิดหลอดเลือด)
  • สร้างความทนทานต่อการบาดเจ็บ: E pace ช่วยเสริมสร้างกล้ามเนื้อหัวใจ และสร้างความต้านทานต่อการบาดเจ็บ
  • การสร้างฐาน: E pace มีความสำคัญอย่างยิ่งใน Phase I (Base Conditioning) ของโปรแกรม ซึ่งเป็นช่วงที่นักวิ่งจะต้องคุ้นเคยกับการวิ่งอย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอ
  • การประหยัดไกลโคเจน: การฝึกซ้อมที่ E pace ช่วยกระตุ้นให้ร่างกายเพิ่มกิจกรรมของเอนไซม์ที่ใช้ในการออกซิไดซ์กรดไขมัน (Fat Oxidation) ซึ่งมีความสำคัญต่อการ “ประหยัดไกลโคเจน” (glycogen sparing) สำหรับการแข่งขันมาราธอน

ความรู้สึกในการวิ่งและการใช้งาน:

  • ความรู้สึก: ควรวิ่งในลักษณะที่ สบายและสามารถพูดคุยได้ (conversational) หรือที่เรียกว่า “ปราศจากความเจ็บปวดหรือปัญหา”
  • เพซ: แดเนียลส์แนะนำว่า สำหรับนักวิ่งที่ช้ากว่า ควรใช้ เวลา ในการกำหนดระยะทางมากกว่าระยะทางจริง โดยกำหนดให้การวิ่ง E pace 1 ไมล์ เทียบเท่ากับเวลาประมาณ 6 นาที
  • การสะสมระยะทาง: การวิ่ง E pace ใช้เพื่อเติมเต็มระยะทางที่เหลือให้ถึงเป้าหมายรายสัปดาห์ หลังจากที่เสร็จสิ้นการฝึกซ้อมคุณภาพ (Q1, Q2)
  • ข้อควรระวัง: นักวิ่งทั่วไปมักทำผิดพลาดโดยการวิ่ง E run เร็วเกินไป ซึ่งเป็นการผลักตัวเองเข้าไปใน “โซนสีเทา” (grey zone) ที่ไม่ยากพอสำหรับการปรับตัวที่แรงขึ้น แต่ทำให้เกิดความเหนื่อยล้าที่ขัดขวางการฟื้นตัวสำหรับการฝึกซ้อมคุณภาพ
  • Strides: แนะนำให้เพิ่ม Strides (การวิ่งเร็ว 6-8 ครั้ง เป็นเวลา 20-30 วินาที) หลังจากการวิ่ง E run สองถึงสามครั้งต่อสัปดาห์ เพื่อรักษาการทำงานของระบบประสาทและกล้ามเนื้อ (neuromuscular firing patterns) โดยไม่สร้างภาระทางเมตาบอลิซึมมากเกินไป

2.1.1 L Pace (Long Run – เพซยาว)

L pace คือการวิ่งระยะยาวที่ความเข้มข้นเดียวกับ E pace โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มความเครียดอย่างต่อเนื่องตามที่จำเป็นในแต่ละสัปดาห์

วัตถุประสงค์ทางสรีรวิทยา:

  • ความทนทานเชิงโครงสร้าง (Structural Durability): L run มีเป้าหมายเพื่อปรับตัวต่อการหมดไกลโคเจน, ความทนทานเชิงโครงสร้าง และความเชื่อมั่นทางจิตใจ เนื่องจากการวิ่งมาราธอนสร้างความเครียดทางกลไกอย่างมากต่อร่างกาย การวิ่ง L run จึงช่วยปรับโครงสร้างของเส้นเอ็นและกล้ามเนื้อให้ทนทานต่อแรงกระแทกนับหมื่นครั้ง
  • การฝึกการเติมเชื้อเพลิง: แนะนำให้ใช้ L run และ M run เพื่อ ฝึกการดื่มน้ำและของเหลว (Practice drinking) ระหว่างการวิ่ง

ข้อจำกัดที่สำคัญ (2.5 ชั่วโมง):

  • แดเนียลส์กำหนดข้อจำกัดที่เข้มงวดสำหรับการวิ่ง L run เพื่อป้องกันผลตอบแทนที่ลดลง (diminishing returns) และความเสี่ยงต่อการบาดเจ็บ
  • L run ไม่ควรเกิน 2.5 ชั่วโมง หรือ 25% (บางแหล่งระบุ 25-33%) ของระยะทางรวมต่อสัปดาห์ แล้วแต่ว่าอย่างไหนน้อยกว่า
  • การจำกัดเวลา 2.5 ชั่วโมงมีความสำคัญมาก โดยเฉพาะสำหรับนักวิ่งที่ช้ากว่า (เช่น ผู้ที่ใช้เวลา 3.5 ชั่วโมงขึ้นไปในการวิ่งมาราธอน) เนื่องจากเกินกว่า 2.5 ชั่วโมง ประโยชน์ทางสรีรวิทยาจะเริ่มคงที่ ในขณะที่ความเสี่ยงต่อการบาดเจ็บทางออร์โทพีดิกส์และการสลายตัวของระบบจะเพิ่มขึ้นอย่างมาก นักวิ่งที่ใช้เวลานานควรจำกัดระยะวิ่งยาวด้วยเวลา ไม่ใช่ระยะทาง

บริบทในโปรแกรมมาราธอน

ในขณะที่เพซ T (Threshold) และ M (Marathon) เป็น “การฝึกซ้อมคุณภาพ” ที่ขับเคลื่อนการปรับตัวของความเร็วในการวิ่งแอโรบิก (การยกระดับเกณฑ์แลคเตท) การวิ่ง E และ L pace เป็น รากฐาน ที่จำเป็นสำหรับการฝึกซ้อมมาราธอน:

  • การสร้างฐาน (Phase I): แนะนำให้นักวิ่งใช้เวลา 6 สัปดาห์ หรือนานกว่านั้น (2-3 เดือนสำหรับมือใหม่) ใน Phase I เพื่อสร้างฐานที่มั่นคงโดยการวิ่ง E pace และ L run
  • ความยืดหยุ่น: สำหรับนักวิ่งที่วิ่งเกิน 50 ไมล์ต่อสัปดาห์ แนะนำให้วิ่ง E pace สองครั้งต่อวัน (two-a-day runs) แทนที่จะเพิ่มระยะทางในการวิ่งครั้งเดียวให้ยาวขึ้น ซึ่งช่วยลดความเครียดทางกลไกต่อร่างกาย
  • การฟื้นตัว: การวิ่ง E pace ยังทำหน้าที่เป็นวันพักฟื้นที่จำเป็น โดยเฉพาะก่อนและหลังการแข่งขันหรือการฝึกซ้อมคุณภาพ (Q sessions) โดยทั่วไปควรรวม E run อย่างน้อยสามวันก่อนและหลังการแข่งขัน

2.2 Threshold (T)

เพซความเข้มข้นของการฝึกซ้อมแบบ Threshold (T) หรือที่เรียกว่าเพซเกณฑ์แลคเตท ถือเป็นองค์ประกอบสำคัญและเป็นหัวใจหลักของการฝึกซ้อมคุณภาพ (Quality Work) ในสูตรการวิ่งของแดเนียลส์ (Daniels’ Running Formula) โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับนักวิ่งฮาล์ฟมาราธอนและมาราธอน

T pace ถูกออกแบบมาเพื่อปรับปรุงความสามารถทางสรีรวิทยาที่สำคัญที่สุดในการวิ่งระยะไกล ซึ่งไม่ได้อยู่ภายใต้ข้อจำกัดของกรดแลคติกมากเท่ากับระยะสั้น

2.2.1 คำจำกัดความและวัตถุประสงค์ทางสรีรวิทยาของ T Pace

  1. ระดับความเข้มข้นและความรู้สึก:
    • T pace คือการวิ่งที่ความเข้มข้นระหว่าง 83–88% ของ VO2max
    • ในแง่ของความรู้สึกส่วนตัว นักวิ่งจะรู้สึกว่าเป็นการวิ่งที่ “สบาย ๆ แต่หนัก” (comfortably hard) เป็นเพซที่สามารถรักษาได้อย่างต่อเนื่องเป็นเวลาประมาณ 60 นาทีในการแข่งขัน
    • ในการวิ่ง T run นั้น การหายใจไม่ควรรู้สึกเครียดมากเกินไป
    • สำหรับนักวิ่งที่ช้ากว่า สามารถประมาณค่า T pace ได้ว่า 1 ไมล์ที่ T pace จะเท่ากับเวลาประมาณ 4.5 ถึง 5 นาที
  2. วัตถุประสงค์หลัก:
    • เนื่องจากมาราธอนส่วนใหญ่เป็นการวิ่ง ต่ำกว่าเกณฑ์แลคเตท (sub-threshold event) เป้าหมายหลักของการฝึกซ้อมจึงไม่ใช่การเพิ่มความทนทานต่อความเป็นกรด
    • วัตถุประสงค์ของ T pace คือการ ปรับปรุงความสามารถในการกำจัดแลคเตท และ ยกระดับความเร็ว ณ จุดที่เกิดการสะสมแลคเตท (Onset of Blood Lactate Accumulation – OBLA)
    • หากความเร็วเกณฑ์แลคเตท (Threshold speed) เพิ่มขึ้น ความเร็วเพซมาราธอน (M pace) ที่อยู่ต่ำกว่าเกณฑ์ก็จะเพิ่มขึ้นตามไปด้วย
    • T run ยังมีประโยชน์ในการทำให้การวิ่ง M pace และการวิ่ง Easy Long (L) run รู้สึกอยู่ในวิสัยที่ทำได้ง่ายขึ้น

2.2.2 รูปแบบการฝึกซ้อม T Pace

T pace สามารถทำได้ในสองรูปแบบหลัก ซึ่งช่วยให้นักวิ่งสามารถสะสมปริมาณการฝึกซ้อมที่ความเข้มข้นนี้ได้มากขึ้นกว่าการวิ่งต่อเนื่อง:

  1. Tempo Runs (การวิ่งแบบต่อเนื่อง):
    • คือความพยายามต่อเนื่องที่ T pace ซึ่งโดยทั่วไปจะใช้เวลาประมาณ 20 นาที รูปแบบนี้ช่วยสร้างความแข็งแกร่งทางจิตใจในการรักษาเพซที่ “สบาย ๆ แต่หนัก”
  2. Cruise Intervals (การวิ่งช่วงสลับพัก):
    • คือการวิ่งเป็นช่วง ๆ ที่ T pace (เช่น $5 \times 1$ ไมล์ หรือ $10 \times 3$ นาที) โดยมีการพักสั้น ๆ เพียง 1 ถึง 2 นาที ระหว่างแต่ละช่วง
    • รูปแบบนี้ช่วยให้นักกีฬาสามารถ สะสมปริมาณรวมของเวลาที่ความเข้มข้น Threshold ได้มากกว่า ที่จะทำได้ในการวิ่งต่อเนื่อง (Tempo Run) ตัวอย่างเช่น นักวิ่งอาจไม่สามารถวิ่งต่อเนื่องที่ T pace ได้นาน 40 นาที แต่สามารถทำ $6 \times 1$ ไมล์ที่ T pace โดยพักสั้น ๆ เพื่อให้ได้เวลาสะสมรวม 35–40 นาทีของการกระตุ้นทางสรีรวิทยา

2.2.3 บทบาทของ T Pace ในบริบทของการวิ่งทางไกล

T pace ถูกรวมอยู่ในแผนการฝึกซ้อมทั้งหมดของแดเนียลส์ ตั้งแต่โปรแกรมสำหรับผู้เริ่มต้นไปจนถึงโปรแกรมระดับอีลิท:

  • ฮาล์ฟมาราธอน: สำหรับนักวิ่งชั้นนำที่วิ่งฮาล์ฟมาราธอนได้ในเวลาประมาณหนึ่งชั่วโมง การแข่งขันนี้ถือเป็น “การทดสอบเกณฑ์แลคเตทขั้นสูงสุด” (ultimate test of lactate threshold) ดังนั้น การฝึกซ้อมควรเน้นไปที่การฝึกซ้อมช่วง (Intervals) และ Threshold Training สำหรับนักวิ่งทั่วไปที่ใช้เวลาประมาณสองชั่วโมง การยกระดับเกณฑ์แลคเตทก็ยังคงเป็นสิ่งสำคัญ
  • โปรแกรมมาราธอน A (Program A): T pace ถูกนำเข้าสู่ Phase II (Early Quality) เพื่อเตรียมร่างกายสำหรับการฝึกซ้อมที่เข้มข้นใน Phase III
    • Phase III (Crucible): เป็นช่วงที่ต้องใช้ความพยายามสูงสุด ซึ่งมีการเพิ่ม Threshold Workouts ที่ยาวขึ้น ตัวอย่างการฝึกซ้อมใน Phase III ของ Program A ได้แก่ การวิ่ง $4 \times 10$ ถึง 12 นาทีที่ T pace โดยมีช่วงพัก 2 นาที และการรวม T pace เข้ากับ M pace
    • Phase IV (Taper): แม้จะเป็นช่วงลดปริมาณการฝึกซ้อม (Taper) แต่ T pace ยังคงถูกรวมอยู่ในการฝึกซ้อม เพื่อรักษาความเข้มข้นและความพร้อมของระบบ
  • โปรแกรมสำหรับผู้เริ่มต้น (First-Timer Program): แม้แต่นักวิ่งที่เพิ่งเริ่มต้นก็ควรฝึก T pace โดยใช้เพซที่รู้สึกว่า “สบาย ๆ แต่หนัก” T runs ในโปรแกรมนี้มักจำกัดไว้ที่ 20 ถึง 30 นาที และสามารถแบ่งออกเป็น 2-3 ช่วง
  • คำแนะนำสำหรับนักวิ่งที่ช้ากว่า: สำหรับนักวิ่งที่ไม่ได้มี VDOT ที่กำหนดไว้ ควรฝึก T pace โดยใช้ เวลา ในการกำหนดความเข้มข้นแทนระยะทาง

โดยสรุป T pace คือการฝึกซ้อมที่เน้นความเร็วที่สามารถคงไว้ได้อย่างต่อเนื่องยาวนาน โดยมีจุดมุ่งหมายทางสรีรวิทยาในการสร้าง “เพดาน” ทางแอโรบิกที่สูงขึ้น เพื่อให้นักวิ่งสามารถรักษาเพซมาราธอนที่เร็วขึ้นได้โดยยังคงใช้ระบบแอโรบิกเป็นหลัก

2.3 Marathon Pace (M)

อัตราความเข้มข้นของการฝึกซ้อมแบบ Marathon Pace (M) ถือเป็นองค์ประกอบที่สำคัญอย่างยิ่งในสูตรการวิ่งของแดเนียลส์ (Daniels’ Running Formula) สำหรับการวิ่งระยะไกล โดยเฉพาะมาราธอน เนื่องจากเป็นเพซที่ถูกกำหนดขึ้นมาเพื่อวัตถุประสงค์เฉพาะทางสรีรวิทยาและจิตวิทยา นั่นคือการ ฝึกความจำเพาะต่อการแข่งขัน (Race Specificity) และ การฝึกปฏิบัติการเติมเชื้อเพลิง (Practice Fueling)

2.3.1 M Pace: คำจำกัดความและความเข้มข้น

เพซมาราธอน (M Pace) คือความเร็วที่นักวิ่งตั้งใจจะใช้ในการแข่งขันมาราธอนจริง และเป็นหนึ่งในห้าโซนความเข้มข้นหลักของแดเนียลส์ (5 Paces):

  1. ระดับความเข้มข้น: M pace จัดอยู่ในช่วงความเข้มข้น 75–84% ของ VO2max
  2. ความรู้สึกในการวิ่ง: เป็นความเข้มข้นที่อยู่ในระดับ ปานกลาง (Moderate) โดยที่นักวิ่งต้องมีสมาธิในการรักษาเพซ แต่เป็นความเร็วที่ยังสามารถรักษาไว้ได้อย่างยั่งยืน
  3. ตำแหน่งในระบบ: M pace ถูกกำหนดให้เป็นเพซที่อยู่ กึ่งกลางระหว่างเพซง่าย (E) และเพซเกณฑ์ (T) การหายใจในระหว่างการวิ่ง M pace ไม่ควรเครียด
  4. การประมาณค่า: สำหรับนักวิ่งที่ช้ากว่า แดเนียลส์แนะนำให้พิจารณาว่า 1 ไมล์ที่ M pace เท่ากับเวลาประมาณ 5 นาที (ที่เพซมาราธอนของนักวิ่งแต่ละคน) หากใช้การกำหนดด้วยเวลาแทนระยะทาง

2.3.2 ฝึกความจำเพาะต่อการแข่งขัน (Race Specificity) และประสิทธิภาพ

M pace ถูกออกแบบมาเพื่อให้ร่างกายปรับตัวเข้ากับความต้องการทางสรีรวิทยาที่ไม่เหมือนใครของการวิ่งมาราธอน ซึ่งเกือบทั้งหมดเป็นการวิ่ง ต่ำกว่าเกณฑ์แลคเตท

  • ความจำเพาะของเพซ (Specificity): วัตถุประสงค์หลักของ M pace คือ ความจำเพาะต่อการแข่งขัน (Race specificity) เพื่อฝึกร่างกายให้คุ้นเคยกับการใช้เพซที่ต้องการวิ่งในวันแข่งขันจริง
  • การประหยัดไกลโคเจน (Glycogen Sparing): การฝึกซ้อมที่ M pace มีบทบาทสำคัญในการ ปรับปรุงเศรษฐศาสตร์แอโรบิก (aerobic economy) การฝึกนี้จะกระตุ้นกิจกรรมของเอนไซม์ที่จำเป็นในการ ออกซิไดซ์กรดไขมัน (Fat Oxidation) ซึ่งช่วยให้ร่างกายสามารถ สงวนไกลโคเจน (carbohydrate stores) ที่มีจำกัดไว้ใช้สำหรับช่วงท้ายของการแข่งขันมาราธอน
  • การฝึกจิตใจ (Mental Hardening): M run เป็นการฝึกจิตใจ (mental hardening) โดยนักวิ่งควรเข้าสู่การฝึกซ้อมนี้ด้วย ทัศนคติที่ว่าการวิ่งนี้คือการดูตัวอย่าง (preview) ของสิ่งที่วางแผนจะทำในการแข่งขันมาราธอนจริง
  • การใช้งานในโปรแกรม (Phase III): M runs ถูกรวมอยู่ในการฝึกซ้อมคุณภาพที่ยากที่สุดใน Phase III ตัวอย่างเช่น โปรแกรม A มีการฝึกซ้อมที่กำหนดให้วิ่ง M pace 12 ถึง 13 ไมล์ (หรือ 100 นาที) โดยมี Easy Run (E pace) อยู่ด้านหน้าและด้านหลัง การฝึกซ้อมเหล่านี้มีวัตถุประสงค์เพื่อให้นักวิ่ง ถือเพซการแข่งขันได้เป็นระยะทางเกือบครึ่งหนึ่ง ของการแข่งขันจริง
  • การทดแทนการฝึก: ในกรณีที่นักวิ่งมีการแข่งขันฮาล์ฟมาราธอนเป็นรายการซ้อม สามารถใช้การแข่งขันนั้นเป็น การวิ่ง M pace ได้ ซึ่งจะบรรลุวัตถุประสงค์ของการฝึกซ้อมคุณภาพไปพร้อมกัน
  • สำหรับผู้เริ่มต้น: สำหรับนักวิ่งที่ตั้งเป้าหมายเพียงแค่ วิ่งให้จบ (First-Timer) การฝึกซ้อมที่รวม E runs, M runs และ runs ที่เร็วกว่าเล็กน้อยก็เพียงพอแล้ว โดยไม่จำเป็นต้องรวมการวิ่งระยะ 20+ ไมล์ในโปรแกรม

2.3.3 การฝึกปฏิบัติการเติมเชื้อเพลิง (Practice Fueling)

เนื่องจากการวิ่งมาราธอนสร้างความต้องการอย่างมากต่อ อุปทานเชื้อเพลิงคาร์โบไฮเดรต และ การรักษาสมดุลของของเหลวในร่างกาย M pace จึงถูกใช้เป็นเพซฝึกซ้อมเพื่อจัดการกับปัจจัยจำกัดเหล่านี้:

  • ฝึกการดื่มระหว่างวิ่ง: M pace ถูกกำหนดไว้สำหรับการ ฝึกปฏิบัติการรับของเหลว (practicing fluid intake at speed)
  • แดเนียลส์แนะนำให้นักวิ่ง ฝึกดื่มน้ำ (Practice drinking) ในระหว่างการวิ่งระยะยาว (L runs) และ M runs
  • นักวิ่งควร ฝึกการดื่มระหว่างวิ่ง M pace และต้องพยายามอย่างเต็มที่ที่จะ จินตนาการว่าตนเองอยู่ในช่วงกลางของการแข่งขันมาราธอน การฝึกนี้มีความสำคัญเพราะ “การฝึกกระเพาะอาหาร” (gut training) เพื่อดูดซึมของเหลวขณะที่เลือดถูกส่งไปยังกล้ามเนื้อที่ทำงานอยู่เป็นสิ่งจำเป็นในการแข่งขันจริง

2.4 Interval (I) Pace

อัตราความเข้มข้นของการฝึกซ้อมแบบ Interval (I) Pace (เพซช่วง) ในสูตรการวิ่งของแดเนียลส์ (Daniels’ Running Formula) มุ่งเน้นไปที่การ เพิ่ม VO2max หรือพลังแอโรบิกสูงสุด (Aerobic Power) แม้ว่า I pace จะมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการวิ่งระยะสั้น แต่ในบริบทของการฝึกมาราธอน (ซึ่งเป็นการวิ่งส่วนใหญ่ที่ต่ำกว่าเกณฑ์แลคเตท) บทบาทของมันจะถูกปรับให้เป็นส่วนเสริมของการฝึกความทนทาน

2.4.1 คำจำกัดความและวัตถุประสงค์ของ I Pace

  • วัตถุประสงค์หลัก: เพซช่วง (I Pace) มีวัตถุประสงค์ทางสรีรวิทยาเพื่อ เพิ่มขีดความสามารถสูงสุดของ VO2max (Aerobic Power) และ กระตุ้นระบบแอโรบิกให้ถึงขีดจำกัด
  • ระดับความเข้มข้น: I pace อยู่ในระดับความเข้มข้นสูงมาก คือประมาณ 95–100% ของ VO2max
  • ความรู้สึกในการวิ่ง: เพซนี้ถูกจัดว่า ยาก (Hard) และต้องใช้ความพยายามอย่างมาก (Demanding) ซึ่งเทียบเท่ากับ เพซที่ใช้ในการแข่งขัน 5K
  • รูปแบบการฝึกและการพักฟื้น: การฝึก I pace มักจะทำเป็นช่วง ๆ ยาวประมาณ 3–5 นาที โดยมีช่วงพักฟื้นสลับกัน การพักฟื้น (Recovery) มักจะเท่ากับหรือน้อยกว่าเวลาที่ใช้ในการวิ่งช่วงนั้น ๆ
  • การกำหนดเพซ: สำหรับนักวิ่งชั้นนำ เพซ I สำหรับระยะ 1,000 เมตร ควรใช้เวลาประมาณ 3 นาที และ 1 ไมล์ ควรใช้เวลาประมาณ 4:30 นาที (ตามเพซ I ที่เหมาะสมของนักวิ่งแต่ละคน)

2.4.2 บทบาทของ I Pace ในบริบทของการวิ่งทางไกล

แม้ว่าการวิ่งมาราธอนจะเป็นการแข่งขันที่เน้นความทนทานแอโรบิกในระดับต่ำกว่าเกณฑ์แลคเตท แต่ I pace ก็ยังคงมีบทบาทในการฝึกซ้อม เพื่อยกระดับความสามารถทางแอโรบิกโดยรวม:

  • ความสำคัญที่ลดลงในการวิ่งมาราธอน: เนื่องจากปัจจัยจำกัดหลักในการวิ่งมาราธอนคือการจัดการเชื้อเพลิงไกลโคเจนและการยกระดับเกณฑ์แลคเตท I pace จึงไม่ถือเป็นองค์ประกอบที่สำคัญที่สุดในโปรแกรมมาราธอน เมื่อเทียบกับเพซ T (Threshold) และ M (Marathon)
  • การรวม I Pace ในโปรแกรม A (Marathon Plan A): โปรแกรมมาราธอน A ซึ่งเป็นแผนสำหรับนักวิ่งที่มีประสบการณ์ ไม่มีช่วง Repetition (R) อย่างเป็นทางการ อย่างไรก็ตาม I pace จะถูกรวมเข้าเป็นส่วนหนึ่งของการฝึกซ้อมคุณภาพในช่วง Phase III (Crucible) ซึ่งเป็นช่วงที่ต้องการความพยายามสูงสุด เพื่อกระตุ้นและเพิ่มเพดานแอโรบิกของนักวิ่ง (ดูตัวอย่างในสัปดาห์ที่ 9 และ 10 ของตารางโปรแกรม A)
  • การรวม I Pace ใน Elite Program: โปรแกรมสำหรับนักวิ่งระดับอีลิท (Elite Program) มีการรวม I pace เข้าไปในการฝึกซ้อมคุณภาพ (Q2) อย่างสม่ำเสมอ โดยมักจะผสมผสานกับการวิ่ง T pace และ R pace ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความจำเป็นในการรักษาระดับความเข้มข้นและปริมาณการฝึกซ้อมที่สูงอย่างต่อเนื่อง

2.4.3 I Pace ในบริบทของฮาล์ฟมาราธอน

สำหรับระยะฮาล์ฟมาราธอน ความสำคัญของ I pace จะแตกต่างกันอย่างมากตามระดับความสามารถของนักวิ่ง:

  • สำหรับนักวิ่งชั้นนำ: ผู้ที่วิ่งฮาล์ฟมาราธอนได้ในเวลาประมาณหนึ่งชั่วโมง การแข่งขันนี้ถือเป็นการ “ทดสอบเกณฑ์แลคเตทขั้นสูงสุด” นักวิ่งกลุ่มนี้ควรฝึกซ้อมโดยพื้นฐานเหมือนกับการเตรียมตัววิ่ง 10K โดยเน้นการฝึกซ้อม Intervals และ Threshold Training ซึ่งถือเป็นวิธีที่ดีในการเตรียมพร้อมสำหรับการแข่งขันดังกล่าว
  • สำหรับนักวิ่งทั่วไป: ผู้ที่ใช้เวลาประมาณสองชั่วโมงในการวิ่งฮาล์ฟมาราธอน ควรปฏิบัติตามตารางการฝึกมาราธอน แต่ยังคงได้รับประโยชน์จากการฝึกซ้อมช่วง (Intervals) ในช่วงที่เหมาะสม

2.4.4 ข้อยกเว้น: การหลีกเลี่ยง I Pace สำหรับผู้เริ่มต้น

สำหรับนักวิ่งมาราธอนครั้งแรกหรือผู้ที่เพิ่งเริ่มต้น (First-Timer) ซึ่งมีเป้าหมายเพียงแค่ วิ่งให้จบ โปรแกรมการฝึกซ้อมจะลดความสำคัญของ I pace ลงอย่างชัดเจน:

  • ไม่จำเป็นต้องใช้: เพื่อให้วิ่งมาราธอนจบได้อย่างประสบความสำเร็จ ไม่จำเป็นต้องรวมการฝึกซ้อมแบบ Repetition หรือ Interval ไว้ในโปรแกรม
  • ทางเลือกที่เน้นความเร็ว: แทนที่จะทำ I pace อย่างเป็นทางการ โปรแกรมสำหรับผู้เริ่มต้นจะแนะนำให้เพิ่ม Strides (การวิ่งสั้น ๆ เร็ว) $5-6$ ครั้ง เป็นเวลา $20-30$ วินาที หลังจากการวิ่ง E run $2-3$ ครั้งต่อสัปดาห์ Strides ช่วยรักษาการทำงานของระบบประสาทและกล้ามเนื้อ (neuromuscular firing patterns) และพัฒนาเศรษฐศาสตร์การวิ่ง โดยไม่สร้างภาระทางเมตาบอลิซึมสูงเท่า I pace

2.5 Repetition Pace (R Pace)

ในการพิจารณาโซนความเข้มข้นของการฝึกซ้อม 5 ระดับ (5 Paces) ตามสูตรการวิ่งของแดเนียลส์ (Daniels’ Running Formula) นั้น Repetition Pace (R Pace) หรือเพซซ้ำ ถูกกำหนดขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อ เพิ่มความเร็ว (Speed) และ ประสิทธิภาพการวิ่ง (Running Economy) แต่บทบาทของมันในบริบทของการฝึกซ้อมฮาล์ฟมาราธอนและมาราธอนนั้นมีลักษณะที่เฉพาะเจาะจงและมักจะถูกลดความสำคัญลงเมื่อเทียบกับการวิ่งระยะสั้น

2.5.1 วัตถุประสงค์ทางสรีรวิทยาของ R Pace

R pace เป็นอัตราความเข้มข้นที่สูงที่สุดในระบบของแดเนียลส์ (มากกว่า 100% ของ VO2max) โดยมีวัตถุประสงค์ที่ชัดเจน:

  • เพิ่มพลังงานแบบไม่ใช้ออกซิเจน (Anaerobic Power): R pace มุ่งเน้นไปที่การปรับปรุงความเร็วและพลังงานสูงสุดแบบไม่ใช้ออกซิเจน
  • ปรับปรุงเศรษฐศาสตร์การวิ่ง (Running Economy): วัตถุประสงค์ที่สำคัญคือการแก้ไข ความไม่มีประสิทธิภาพทางชีวกลศาสตร์ (biomechanical inefficiencies) ของนักวิ่ง ทำให้การวิ่งที่ความเร็วต่าง ๆ มีประสิทธิภาพมากขึ้น
  • ความรู้สึกในการวิ่ง: R pace ควรเป็นความเร็วที่รู้สึก เร็วและคล่องตัว (Fast and loose) ไม่ใช่การวิ่งที่หายใจหนัก (not “hard” breathing) แต่เป็นการวิ่งที่สร้างความเครียดทางกลไก (mechanically taxing)
  • รูปแบบการฝึก: R pace จะทำในรูปแบบช่วงสั้น ๆ (Short bouts) ประมาณ 200 ถึง 600 เมตร โดยจะต้องมีการพักฟื้นอย่างเต็มที่ (Full recovery required)

2.5.2 บทบาทที่จำกัดของ R Pace ในโปรแกรมมาราธอน

เนื่องจากมาราธอนเป็นกิจกรรมที่เน้นระบบแอโรบิกและวิ่งส่วนใหญ่อยู่ ต่ำกว่าเกณฑ์แลคเตท การฝึก R pace ซึ่งมุ่งเน้นการพัฒนาพลังงานแบบไม่ใช้ออกซิเจนจึงถูกพิจารณาว่า ไม่สำคัญเท่า กับเพซ M (Marathon) และ T (Threshold) สำหรับนักวิ่งมาราธอนส่วนใหญ่

แหล่งข้อมูลระบุถึงการใช้งาน R pace ในโปรแกรมการฝึกซ้อมมาราธอนดังนี้:

  1. Program A (Standard/Advanced Runners) – ไม่มีช่วง R อย่างเป็นทางการ:
    • โปรแกรม A ซึ่งออกแบบมาสำหรับนักวิ่งที่มีประสบการณ์ ไม่มีช่วง Repetition (R) อย่างเป็นทางการ
    • แดเนียลส์ให้เหตุผลว่า สำหรับนักวิ่งมาราธอนทั่วไป ความเร็วและกลไกการวิ่ง (R pace) นั้นมีความสำคัญน้อยกว่าการเพิ่มประสิทธิภาพที่ความเร็วต่ำกว่าค่าสูงสุดผ่านการฝึกซ้อม M และ T
    • แทนที่จะมีช่วง R อย่างเป็นทางการ โปรแกรม A จะใช้ Strides (การวิ่งสั้น ๆ เร็ว) เป็นเครื่องมือหลักในการปรับปรุงความเร็วและกลไกการวิ่ง
  2. Strides (ทางเลือกที่สำคัญ):
    • Strides คือการวิ่งสั้น ๆ เร็วประมาณ 6 ถึง 8 ครั้ง เป็นระยะเวลา 20 ถึง 30 วินาที โดยมีการพักฟื้นเต็มที่
    • Strides ถูกแนะนำให้เพิ่มเข้าไปหลังจากการวิ่ง E pace (Easy runs) สองถึงสามครั้งต่อสัปดาห์
    • วัตถุประสงค์ของ Strides คือการ รักษาการทำงานของระบบประสาทและกล้ามเนื้อ (neuromuscular firing patterns) และรักษาช่วงการเคลื่อนไหวของกลไกการวิ่ง (mechanical range of motion) โดยไม่สร้างภาระทางเมตาบอลิซึมที่สูง (high metabolic cost) หรือกระตุ้นการสะสมแลคเตท
  3. Elite Program – มี R Pace แต่มีความจำเพาะ:
    • โปรแกรมสำหรับนักวิ่งระดับอีลิท (Elite Program) เป็นข้อยกเว้น โปรแกรมนี้ถูกออกแบบมาเพื่อรักษาความเข้มข้นสูงอย่างต่อเนื่อง
    • Elite Program มีการรวม R pace เข้าไปในการฝึกซ้อมคุณภาพ (Q2) โดยมักจะผสมผสานเข้ากับ I pace และ T pace ในช่วงการฝึกที่ซับซ้อน
    • ตัวอย่างเช่น ในสัปดาห์ที่ 8 ของ Elite Program Q2 มีการฝึกซ้อม $6 \times (400$ เมตร R pace กับ 3 นาที E pace) และสัปดาห์ที่ 20 มี $4 \times (400$ เมตร R pace กับ 3 นาที E pace)
  4. First-Timer Program (โปรแกรมสำหรับผู้เริ่มต้น):
    • สำหรับนักวิ่งมาราธอนครั้งแรกที่มีเป้าหมายเพียงแค่ วิ่งให้จบ โปรแกรมจะละเว้นการฝึกซ้อมที่มีความเข้มข้นสูงอย่างชัดเจน
    • แดเนียลส์ระบุว่าผู้เริ่มต้น ไม่จำเป็นต้องรวมการฝึกซ้อมแบบ Repetition หรือ Interval ไว้ในโปรแกรม
    • นักวิ่งกลุ่มนี้ควรเน้นที่การวิ่ง Easy (E), Long (L), และ Marathon (M) เพื่อสร้างความทนทานเชิงโครงสร้างและความคุ้นเคยกับการใช้เชื้อเพลิง อย่างไรก็ตาม แผนสำหรับผู้เริ่มต้นยังคงแนะนำให้เพิ่ม Strides เข้ามาหลัง E runs เพื่อสร้างความฟิตของระบบประสาทและกล้ามเนื้อ

โดยสรุป R pace เป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพในการเพิ่มความเร็วและแก้ไขกลไกการวิ่ง แต่เนื่องจากความจำเพาะต่อการแข่งขันมาราธอนที่เน้นความทนทานแอโรบิกอย่างต่อเนื่อง จึงมักจะถูกแทนที่ด้วย Strides ในโปรแกรมสำหรับนักวิ่งส่วนใหญ่ เพื่อให้ได้รับประโยชน์ทางชีวกลศาสตร์โดยหลีกเลี่ยงภาระทางเมตาบอลิซึมที่สูง ซึ่งอาจขัดขวางการฟื้นตัวสำหรับการฝึกซ้อมคุณภาพ T และ M ที่สำคัญกว่า

3. การฝึกสำหรับฮาล์ฟมาราธอน

สูตรการวิ่งของแดเนียลส์ (Daniels’ Running Formula) ไม่ได้นำเสนอแผนการฝึกซ้อมที่แยกต่างหากสำหรับการวิ่งฮาล์ฟมาราธอน (Half-Marathon) แต่จะกำหนดแนวทางการฝึกซ้อมโดยพิจารณาจาก ความสามารถและเวลาที่ใช้ในการแข่งขัน ของนักวิ่งแต่ละคน เนื่องจากความต้องการทางสรีรวิทยาของฮาล์ฟมาราธอนนั้นแตกต่างกันอย่างมากระหว่างนักวิ่งชั้นนำและนักวิ่งทั่วไป

3.1 นักวิ่งชั้นนำ (Elite Runners) ที่สามารถวิ่งฮาล์ฟมาราธอนได้ในเวลาประมาณ หนึ่งชั่วโมง

สูตรการวิ่งของแดเนียลส์ (Daniels’ Running Formula) ไม่ได้นำเสนอแผนการฝึกซ้อมที่แยกต่างหากสำหรับการวิ่งฮาล์ฟมาราธอน แต่ใช้วิธีการกำหนดแนวทางการฝึกซ้อมตามความสามารถของนักวิ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สำหรับกลุ่ม นักวิ่งชั้นนำ (Elite Runners) ที่สามารถวิ่งฮาล์ฟมาราธอนได้ในเวลาประมาณ หนึ่งชั่วโมง

ในบริบทของการฝึกสำหรับฮาล์ฟมาราธอน แหล่งข้อมูลระบุไว้อย่างชัดเจนว่า ความต้องการทางสรีรวิทยาของการวิ่งฮาล์ฟมาราธอนสำหรับนักวิ่งระดับสูงนั้น แตกต่างอย่างสิ้นเชิงจากมาราธอน และใกล้เคียงกับการแข่งขันระยะสั้นกว่า

3.1.1 ความท้าทายทางสรีรวิทยา: การทดสอบเกณฑ์แลคเตทขั้นสูงสุด

แดเนียลส์ชี้ให้เห็นว่าเป็นการยากที่จะกำหนดโปรแกรมการฝึกซ้อมเดียวสำหรับฮาล์ฟมาราธอน เนื่องจากความต้องการทางสรีรวิทยาแตกต่างกันตามความเร็วของนักวิ่ง

  • สำหรับนักวิ่งชั้นนำที่ทำเวลาได้ประมาณ หนึ่งชั่วโมง นั้น การแข่งขันฮาล์ฟมาราธอนถือเป็น “การทดสอบเกณฑ์แลคเตทขั้นสูงสุด” (ultimate test of lactate threshold)
  • นี่คือระดับความเข้มข้นที่พวกเขาสามารถรักษาไว้ได้ เกือบหนึ่งชั่วโมง ซึ่งเป็นระยะเวลาที่สอดคล้องกับความสามารถในการรักษาระดับเกณฑ์แลคเตท (T Pace)
  • ดังนั้น เป้าหมายในการฝึกซ้อมจึงเน้นไปที่การ ยกระดับความเร็ว ณ จุดเกิดแลคเตทสะสม (OBLA) เพื่อให้สามารถวิ่งเพซที่เร็วขึ้นได้โดยยังคงอยู่ในความเข้มข้นที่ยั่งยืน

3.1.2 แนวทางการฝึกซ้อม: เน้น T และ I เหมือน 10K

เนื่องจากฮาล์ฟมาราธอนสำหรับนักวิ่งชั้นนำเทียบเท่ากับการวิ่ง 10K สำหรับนักวิ่งที่ช้ากว่า แดเนียลส์จึงเสนอให้ใช้ตารางการฝึกซ้อมที่เน้นความเร็วและความอดทนในระดับสูง:

  1. ฝึกเหมือน 10K: แดเนียลส์เสนอว่า นักวิ่งชั้นนำควรฝึกซ้อมโดยพื้นฐานเหมือนกับการเตรียมตัววิ่ง 10K
  2. เน้น T Pace: Threshold training (T Pace) เป็นองค์ประกอบสำคัญ T pace คือการวิ่งที่ความรู้สึก “สบาย ๆ แต่หนัก” (comfortably hard) และมีวัตถุประสงค์เพื่อปรับปรุงการกำจัดแลคเตท และเพิ่มความเร็วที่นักกีฬาสามารถวิ่งได้โดยยังคงอยู่ในระบบแอโรบิกเป็นหลัก การฝึกซ้อมแบบเกณฑ์ (Threshold repeats) เป็นวิธีที่ยอดเยี่ยมในการเตรียมตัวสำหรับการแข่งขันที่เป็นการทดสอบเกณฑ์แลคเตท
  3. เน้น I Pace: Intervals (I Pace) ก็เป็นวิธีที่ยอดเยี่ยมในการเตรียมตัวสำหรับการแข่งขันดังกล่าว I pace (95–100% ของ VO2max) มีวัตถุประสงค์เพื่อ เพิ่ม VO2max (พลังแอโรบิกสูงสุด) ซึ่งแม้ว่าจะมีความสำคัญน้อยกว่า T pace สำหรับมาราธอน แต่ก็ยังจำเป็นในการผลักดันขีดจำกัดความเร็วสูงสุดสำหรับการแข่งขันระยะ 1 ชั่วโมง

3.1.3 ความแตกต่างจากนักวิ่งทั่วไป

แนวทางนี้แตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับคำแนะนำสำหรับ นักวิ่งฮาล์ฟมาราธอนทั่วไป (Recreational Runners) ที่ใช้เวลาประมาณ สองชั่วโมง ในการแข่งขัน

  • สำหรับนักวิ่งที่ใช้เวลานาน ความเครียดทางสรีรวิทยาที่สำคัญจะคล้ายกับมาราธอน เช่น ความร้อนและการขาดน้ำ
  • ดังนั้น นักวิ่งกลุ่มหลังนี้จึงควร ปฏิบัติตามตารางการฝึกมาราธอน โดยเน้นที่การวิ่งนาน 1–2 ชั่วโมง (L Pace) การวิ่ง Threshold (T Pace) และการฝึกซ้อมช่วง (I Pace) อย่างไรก็ตาม นักวิ่งที่ช้ากว่าก็ยังคงต้องใช้เวลาในการ ยกระดับเกณฑ์แลคเตท ให้สูงที่สุดเท่าที่จะทำได้เช่นกัน

กล่าวคือ ในขณะที่นักวิ่งทั่วไปใช้ฮาล์ฟมาราธอนเป็นบทเรียนด้านความทนทานและการจัดการเชื้อเพลิง (เหมือนมาราธอนย่อส่วน) นักวิ่งชั้นนำใช้ฮาล์ฟมาราธอนเป็นบทเรียนด้านความเร็วและความทนทานในระดับสูง (เหมือน 10K ที่ยาวขึ้น) ซึ่งกำหนดการฝึกซ้อมที่เน้น T และ I เป็นหลัก

3.2 นักวิ่งทั่วไปที่ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง 45 นาที ถึง 2 ชั่วโมง (Recreational Runners)

สูตรการวิ่งของแดเนียลส์ (Daniels’ Running Formula) ไม่ได้กำหนดตารางการฝึกซ้อมที่แยกต่างหากสำหรับฮาล์ฟมาราธอน แต่ใช้วิธีการกำหนดแนวทางการฝึกซ้อมตามความสามารถและเวลาที่คาดว่าจะใช้ในการแข่งขัน สำหรับกลุ่ม นักวิ่งทั่วไปที่ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง 45 นาที ถึง 2 ชั่วโมง (Recreational Runners) ในการวิ่งฮาล์ฟมาราธอน แดเนียลส์แนะนำให้ใช้แนวทางการฝึกซ้อมแบบมาราธอน โดยเน้น ความทนทาน (Endurance) และ ประสิทธิภาพเชิงเมตาบอลิซึม (Economy) เป็นหลัก

3.2.1 ความจำเป็นในการฝึกแบบมาราธอน (Physiological Rationale)

สาเหตุหลักที่นักวิ่งฮาล์ฟมาราธอนที่ใช้เวลานานควรฝึกเหมือนมาราธอนคือความต้องการทางสรีรวิทยาที่ทับซ้อนกัน:

  1. ความเครียดที่คล้ายคลึงกันกับมาราธอน: สำหรับนักวิ่งที่ใช้เวลาประมาณสองชั่วโมงในการวิ่งฮาล์ฟมาราธอน ความเครียดหลายอย่างที่พวกเขาต้องเผชิญนั้นเหมือนกับสิ่งที่พวกเขาต้องเจอในมาราธอน ความเครียดเหล่านี้ได้แก่ ความร้อน (heat accumulation) และ ภาวะขาดน้ำ (dehydration) ซึ่งถือเป็นปัจจัยสำคัญเมื่อการแข่งขันใช้เวลานานเกินหนึ่งชั่วโมง
  2. การจัดการเชื้อเพลิง: การแข่งขันที่ใช้เวลา 1.5–2 ชั่วโมง ยังคงสร้างความต้องการด้าน การจัดหาเชื้อเพลิงคาร์โบไฮเดรต และ การรักษาสมดุลของของเหลว ในลักษณะเดียวกับการวิ่งมาราธอน ซึ่งแตกต่างจากกิจกรรมระยะสั้น
  3. ความเหนื่อยล้าที่ไม่เฉียบพลัน: เช่นเดียวกับมาราธอน ความเหนื่อยล้าในฮาล์ฟมาราธอนสำหรับนักวิ่งที่ช้ากว่าจะแสดงออกมาในรูปแบบที่ละเอียดอ่อนกว่าการแข่งขันที่สั้นกว่า

3.2.2 แนวทางการฝึกซ้อมที่เน้น Endurance/Economy

แดเนียลส์เสนอแนะว่าการ ทำตามตารางการฝึกมาราธอน (following a marathon training schedule) อาจเป็นแนวทางที่ดีที่สุดสำหรับนักวิ่งกลุ่มนี้ โดยพวกเขาควร คิดว่าตนเองเป็นนักวิ่งมาราธอนชั้นนำ (elite marathoner) และเตรียมตัวตามนั้น ซึ่งหมายถึงการเน้นองค์ประกอบที่สำคัญสำหรับการวิ่งระยะไกล:

  • การวิ่งนาน (Long Runs – L Pace): การวิ่งในระยะเวลา หนึ่งถึงสองชั่วโมง ซึ่งเป็นการฝึกที่เน้นการปรับตัวต่อ ความทนทานเชิงโครงสร้าง (structural durability) และการปรับตัวต่อ การหมดไกลโคเจน (glycogen depletion adaptation) การฝึกซ้อมด้วยเพซง่าย (Easy – E pace) ยังช่วยส่งเสริมการปรับตัวของเซลล์ เช่น การสร้างไมโทคอนเดรีย (mitochondrial biogenesis) ซึ่งเป็นรากฐานของความทนทานแบบแอโรบิก
  • การฝึกซ้อมเพซเกณฑ์ (Threshold Runs – T Pace): แม้ว่านักวิ่งกลุ่มนี้จะเน้นความทนทาน แต่ก็ยังจำเป็นต้องใช้เวลาในการ ยกระดับเกณฑ์แลคเตท (maximizing their lactate threshold) การฝึกซ้อม T pace จะช่วยเพิ่มความเร็วที่นักวิ่งสามารถวิ่งได้โดยใช้ระบบแอโรบิกเป็นหลัก
  • การวิ่งเพซมาราธอน (Marathon Pace – M Pace): เนื่องจากปัจจัยทางสรีรวิทยาคล้ายมาราธอน การฝึกซ้อมด้วย M pace หรือการวิ่งระยะยาวที่เพซ M จะช่วยในเรื่อง ความจำเพาะต่อการแข่งขัน (race specificity) และปรับปรุง เศรษฐศาสตร์แอโรบิก (aerobic economy) เพื่อให้ร่างกายเรียนรู้ที่จะสงวนไกลโคเจนไว้
  • การฝึกซ้อมช่วง (Intervals – I Pace): การฝึกซ้อมที่แข็งแกร่งด้วย I pace ยังคงเป็นส่วนหนึ่งของการเตรียมตัว แม้ว่าการเน้นอาจไม่สูงเท่ากับนักวิ่งฮาล์ฟมาราธอนชั้นนำ

การปรับตัวเหล่านี้ทำให้ร่างกายสามารถรองรับแรงกระแทกทางกลไกได้หลายหมื่นครั้งตลอดการแข่งขัน และฝึกให้ร่างกายสามารถวิ่งด้วยความเร็วที่เร็วกว่า โดยยังคงใช้ระบบแอโรบิกเป็นหลัก

นอกจากนี้ แดเนียลส์ยังเตือนว่า การวิ่งฮาล์ฟมาราธอนที่ความเข้มข้นที่ต้องใช้สำหรับการแข่งขัน อาจผลักดันให้นักวิ่งที่ช้ากว่า เกินเกณฑ์แลคเตท (over your lactate threshold) โดยไม่คาดคิด ซึ่งอาจทำให้เพซตกลงอย่างรวดเร็ว ดังนั้น การฝึกซ้อมที่เน้นความทนทานและการยกระดับเกณฑ์แลคเตทจึงเป็นกุญแจสำคัญในการจัดการความท้าทายนี้。

4. แผนการฝึกซ้อมมาราธอน

สูตรการวิ่งของแดเนียลส์ (Daniels’ Running Formula) ได้นำเสนอแผนการฝึกซ้อมมาราธอนที่แตกต่างกันสามประเภท เพื่อรองรับระดับความสามารถ ประสบการณ์ และเป้าหมายของนักวิ่งที่หลากหลาย ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าไม่มีโปรแกรมเดียวที่เหมาะสำหรับทุกคนในการเตรียมตัววิ่งมาราธอน

แผนการฝึกซ้อมมาราธอนทั้งสามประเภทที่แหล่งข้อมูลได้นำเสนอ ได้แก่:

1. Program A (Standard/Advanced Marathon Plan) เหมาะกับ นักวิ่งที่มีประสบการณ์ (Seasoned recreational runners) หรือนักวิ่งสมัครเล่นที่แข่งขันสูง และ • นักวิ่งมาราธอนครั้งแรกที่มีพื้นฐานการวิ่งที่ดีอยู่แล้ว

2. Elite Program (Continuous 18-Week Block) แผนนี้เป็นแนวทางที่เน้นความเข้มข้นและความเร็วในการฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง และแตกต่างอย่างสิ้นเชิงจาก Program A ในเชิงโครงสร้าง เหมาะกับ นักวิ่งชั้นนำ/กึ่งชั้นนำ (Elite/Sub-elite) ,นักวิ่งที่มีประสบการณ์สูงและมีระยะสะสมต่อสัปดาห์สูง (มักจะ 90 ไมล์/150 กิโลเมตรขึ้นไป) หรือ ผู้ที่ตั้งเป้าหมายทำผลงานสูงสุด (Best Possible Performance)

3. Program for Completing a Marathon (First-Timer Plan) แผนนี้ถูกออกแบบมาเพื่อรองรับนักวิ่งที่มีเป้าหมายเพียงแค่การวิ่งมาราธอนให้จบ (Finisher) ด้วยสุขภาพที่ดีและจิตใจที่ดี เหมาะกับ เริ่มต้น (Novices) หรือผู้ที่มีพื้นฐานการวิ่งน้อยหรือไม่มาก่อน หรือ ผู้ที่มีเวลาจำกัดในการฝึกซ้อม

4.1 โปรแกรม A (Program A)

โปรแกรม A (Program A) เป็นหนึ่งในสามแผนการฝึกซ้อมมาราธอนที่สำคัญของสูตรการวิ่งของแดเนียลส์ (Daniels’ Running Formula) โดยถูกออกแบบมาเพื่อเป็นแนวทางมาตรฐานสำหรับนักวิ่งที่ต้องการผลงานที่ดีที่สุดภายใต้กรอบเวลาที่ยืดหยุ่น

4.1.1 กลุ่มเป้าหมายและโครงสร้าง

  • กลุ่มเป้าหมาย: Program A ถูกออกแบบมาสำหรับนักวิ่งที่มีประสบการณ์ (seasoned recreational runners) และนักวิ่งมาราธอนครั้งแรกที่มีพื้นฐานการวิ่งที่ดีอยู่แล้ว (first-time marathoners with a good background) โดยเหมาะสำหรับผู้ที่ชอบแนวทางการฝึกมาราธอนแบบปกติ (typical marathon approach).
  • ระยะเวลา: เป็นตารางฝึกซ้อมรวม 24 สัปดาห์ โดยแบ่งออกเป็น 4 เฟสที่แตกต่างกัน (Phase I, II, III, และ IV).

4.1.2 ความยืดหยุ่นและการจัดการระยะทาง

Program A โดดเด่นด้วยความยืดหยุ่นในการปรับปริมาณการวิ่งตามความสามารถของแต่ละบุคคล:

  • การกำหนดระยะสูงสุด (Peak Mileage): โปรแกรมนี้ถูกออกแบบมาเพื่อให้สามารถใช้งานได้กับระยะทางรวมต่อสัปดาห์ใด ๆ ก็ตาม นักวิ่งต้องเลือก “ระยะสูงสุด (peak mileage)” ที่เป็นไปได้ในฤดูกาลนั้น และกำหนดระยะทางในแต่ละสัปดาห์จากสัดส่วนของระยะสูงสุดนั้น (fraction of peak mileage).
  • การเพิ่มระยะอย่างค่อยเป็นค่อยไป: แดเนียลส์เน้นย้ำว่าควรเพิ่มระยะทางสะสมรวมต่อสัปดาห์ไม่เกิน 10 ไมล์ (หรือประมาณหนึ่งชั่วโมงของการวิ่งต่อสัปดาห์) และควรเพิ่มเพียง ทุก ๆ สามสัปดาห์ เพื่อหลีกเลี่ยงการบาดเจ็บ.
  • การวิ่งสองครั้งต่อวัน (Doubles): หากนักวิ่งสะสมระยะทางเกินประมาณ 50 ไมล์ต่อสัปดาห์ (50 miles per week) ควรพิจารณาการวิ่ง สองครั้งต่อวัน (two-a-day runs) แทนที่จะเพิ่มระยะทางในการวิ่งครั้งเดียวให้ยาวขึ้น ซึ่งช่วยลดความเครียดเชิงกลไก (mechanical stress).

4.1.3 โครงสร้างและการเน้นความเข้มข้น (5 Paces)

Program A มีการฝึกซ้อมที่เน้นความจำเพาะต่อมาราธอน (Marathon-specific training) ตลอดทั้งสามเฟสคุณภาพ (II, III, และ IV):

  • Phase I (Weeks 1-6): Base Conditioning
    • วัตถุประสงค์คือการสร้างความต้านทานต่อการบาดเจ็บและสร้างฐานการวิ่งที่มั่นคง.
    • เน้นที่การวิ่งง่าย (Easy – E pace) ที่สม่ำเสมอและสบาย.
    • การวิ่งระยะยาว (L run) จะเริ่มต้นในสัปดาห์ที่ 4–6 โดยมีเพดานจำกัดที่ 2.5 ชั่วโมง หรือ 25% ของระยะทางรวมต่อสัปดาห์ แล้วแต่ว่าอย่างไหนน้อยกว่า.
    • มีการเพิ่ม Strides (6–8 ครั้ง, 20–30 วินาที) หลังจากการวิ่ง E runs สองหรือสามครั้งต่อสัปดาห์ เพื่อเตรียมร่างกายสำหรับการฝึกซ้อมคุณภาพ.
  • Phase II (Weeks 7-12): Early Quality
    • เป็นช่วงเตรียมร่างกายสำหรับ Phase III ที่เข้มข้นที่สุด.
    • เริ่มมีการเพิ่มการฝึกซ้อมคุณภาพ (Quality Sessions – Q1/Q2).
    • มีการแนะนำ Threshold training (T Pace) เพื่อปรับปรุงการกำจัดแลคเตท.
    • ช่วงนี้เป็นช่วงที่ดีที่สุดในการรวมการวิ่งขึ้นเนิน (hill running) เข้าไปในการฝึกซ้อมช่วง (Interval sessions) หรือ Long runs แม้ว่า Program A จะไม่มีการฝึกซ้อม Repetition (R) อย่างเป็นทางการก็ตาม.
  • Phase III (Weeks 13-18): Crucible (ช่วงที่ยากที่สุด)
    • เป็นเฟสที่ต้องใช้ความพยายามมากที่สุด (most demanding) เนื่องจากมีการเพิ่มระยะทางสะสม.
    • มีการเพิ่ม T workouts ที่ยาวขึ้น และ M workouts (Marathon Pace) ที่เข้มข้นขึ้น. ตัวอย่างเช่น การวิ่ง M pace 12 ถึง 13 ไมล์ หรือ 100 นาที.
    • มีการนำ I Pace (Intervals) เข้ามาใช้เพื่อกระตุ้นพลังแอโรบิกสูงสุด (VO2max).
    • ในเฟสนี้ หากมีการแข่งขันฮาล์ฟมาราธอน ก็สามารถใช้แทน Q1 quality session ที่เป็น M run ได้.
  • Phase IV (Weeks 19-24): Taper and Peak
    • เป็นเฟสคุณภาพสุดท้ายที่ควรจะมีความเครียดน้อยกว่า Phase III.
    • ปริมาณการวิ่งลดลง (mileage is coming down) แต่ยังคงรักษาความเข้มข้นของการฝึกซ้อมไว้.
    • การ Taper ถูกออกแบบมาอย่างระมัดระวัง เพื่อให้แน่ใจว่านักวิ่งจะมีความพร้อมสูงสุดในวันแข่งขัน.
    • กฎทั่วไปในการฟื้นตัวคือต้องวิ่ง Easy (E days) อย่างน้อย 3 วันก่อน การแข่งขันใด ๆ และอย่างน้อย 3 วันหลัง การแข่งขัน.

4.1.4 บริบทในการเปรียบเทียบกับแผนอื่น

Program A มีความแตกต่างจากแผนการฝึกมาราธอนอื่น ๆ ของแดเนียลส์ในเชิงโครงสร้างและจุดเน้น:

คุณสมบัติProgram AElite ProgramFirst-Timer Program
โครงสร้าง4 เฟสที่ชัดเจน (Modular progression).เฟสต่อเนื่อง 18 สัปดาห์ (Continuous block).แผน 18 สัปดาห์ที่เน้นความถี่และเวลา.
R Pace (Repetition)ไม่มีช่วง R อย่างเป็นทางการ โดยใช้ Strides แทน.มีการรวม R pace เข้ากับการฝึกซ้อมคุณภาพ Q2.ไม่จำเป็นต้องรวมการฝึก R หรือ I.
ระยะ Long Runจำกัดที่ 2.5 ชั่วโมง หรือ 25% ของระยะสะสมต่อสัปดาห์.Long runs มีปริมาณมากและมีการผสม M/T.จำกัดที่ 2.5 ชั่วโมง โดยไม่จำเป็นต้องทำ 20+ ไมล์.

Program A จึงเป็นแผนที่มีความสมดุล โดยให้ความสำคัญกับการปรับตัวทางสรีรวิทยาที่จำเป็นสำหรับการวิ่งมาราธอน—การเพิ่มเกณฑ์แลคเตท (T) การปรับปรุงเศรษฐศาสตร์แอโรบิก (M) และการสร้างความทนทานเชิงโครงสร้าง (E/L)—โดยไม่สร้างความเครียดจากการฝึกซ้อมความเร็วสูงสุดแบบไม่ใช้ออกซิเจน (R) ที่ไม่จำเป็นสำหรับนักวิ่งส่วนใหญ่.

4.2 โปรแกรม Elite (Elite Program)

โปรแกรม Elite (Elite Program) ในสูตรการวิ่งของแดเนียลส์ (Daniels’ Running Formula) ถูกออกแบบมาโดยเฉพาะสำหรับนักวิ่งระดับสูงที่ต้องการผลงานที่ดีที่สุด โดยมีความแตกต่างอย่างชัดเจนในด้านโครงสร้างและปรัชญาการฝึกซ้อมเมื่อเทียบกับ Program A และแผนสำหรับผู้เริ่มต้น

4.2.1 กลุ่มเป้าหมายและข้อกำหนดเบื้องต้น

  • กลุ่มเป้าหมาย: โปรแกรม Elite มุ่งเป้าไปที่ นักวิ่งชั้นนำ/กึ่งชั้นนำ (Elite/Sub-elite runners) นักวิ่งอาวุโสที่มีระยะสะสมต่อสัปดาห์สูง (high-mileage veterans) และผู้ที่มีพื้นฐานการวิ่งที่ดีและมีระยะสะสมต่อสัปดาห์สูง (มักจะ 90 ไมล์ หรือ 150 กิโลเมตรขึ้นไป) นักวิ่งกลุ่มนี้สามารถจัดการกับความเครียดในการฝึกซ้อมที่สูงและมีความสามารถในการฟื้นตัวที่รวดเร็ว
  • เป้าหมาย: คือการบรรลุ ผลงานที่ดีที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ (best possible performance)
  • ข้อกำหนดเบื้องต้น: ก่อนที่จะเข้าสู่ช่วงต่อเนื่อง 18 สัปดาห์นี้ นักวิ่งคาดว่าจะต้องผ่าน Phase I (Base Conditioning) มาแล้วอย่างน้อย 6 สัปดาห์ หรือนานกว่านั้น นักวิ่งต้องเข้าสู่ 18 สัปดาห์สุดท้ายนี้โดยมีระยะสะสมต่อสัปดาห์ใกล้เคียงกับ ระยะสูงสุด (peak weekly mileage) ที่ตั้งไว้สำหรับฤดูกาล

4.2.2 โครงสร้างและการจัดช่วงเวลา (Continuous Phase)

  • โครงสร้างต่อเนื่อง 18 สัปดาห์: โปรแกรม Elite แตกต่างจาก Program A (ซึ่งมี 4 เฟสที่ชัดเจน) โดยการรวมสิ่งที่ปกติจะเรียกว่า Phase II, III และ IV เข้าไว้ใน Phase ต่อเนื่อง 18 สัปดาห์
  • ปรัชญาการเพิ่มความเครียด: แผนนี้ออกแบบมาเพื่อ เพิ่มความเครียดประเภทต่าง ๆ ที่มีผลต่อตัวนักวิ่งอย่างต่อเนื่อง (steadily increase stress) ตลอดช่วง 18 สัปดาห์ แทนที่จะเปลี่ยนระบบที่ถูกกระตุ้นอย่างชัดเจนในช่วงเวลาที่แตกต่างกัน การทำเช่นนี้สะท้อนให้เห็นถึงการจัดช่วงเวลาขั้นสูง (advanced periodization) ที่มีการรักษาและกระตุ้นระบบพลังงานหลายระบบพร้อมกัน
  • ความยืดหยุ่น: เช่นเดียวกับ Program A นักวิ่งสามารถขยายระยะเวลาของโปรแกรมโดยการ ทำซ้ำสัปดาห์ฝึกซ้อม ที่พวกเขาชอบได้ แต่ไม่ควรทำซ้ำสัปดาห์ที่ต้องใช้ความพยายามสูงติดกัน

4.2.3 ความเข้มข้นและปริมาณการฝึกซ้อม (Workout Density)

โปรแกรม Elite กำหนดให้มีการฝึกซ้อมคุณภาพที่มีความหนาแน่นสูงอย่างต่อเนื่อง (High density of quality):

  • การฝึกซ้อมรายวัน: คาดหวังให้นักวิ่ง ฝึกซ้อมทุกวัน (train every day) โดยมีวันพักเป็นครั้งคราวเท่านั้น หากจำเป็น
  • การวิ่งสองครั้งต่อวัน (Doubles): แนะนำให้แบ่งการวิ่งออกเป็น สองครั้งต่อวัน แทนที่จะเพิ่มระยะทางในการวิ่งครั้งเดียวให้ยาวขึ้น เมื่อระยะทางรวมต่อสัปดาห์เกินกว่า 50 ไมล์
  • สองวันฝึกซ้อมคุณภาพ (Q1/Q2): แต่ละสัปดาห์ถูกออกแบบให้มีวันฝึกซ้อมคุณภาพหลัก สองวัน:
    • Q1 (วันหยุดสุดสัปดาห์): มักจะตรงกับวันอาทิตย์ ซึ่งเป็นวันแข่งขันมาราธอน (race day) หรือการจำลองการแข่งขัน Q1 มักเป็นการวิ่งระยะยาวที่เข้มข้น เช่น Long runs ที่ยาวมาก (20+ ไมล์) หรือ Long runs ที่มีการผสมผสาน M/T pace
    • Q2 (กลางสัปดาห์): มักจะเป็นวันพุธหรือพฤหัสบดี Q2 มักเกี่ยวข้องกับปริมาณงานคุณภาพที่สูงมาก โดยรวมการฝึก T, I และ R ไว้ในบล็อกเดียว
  • การรวมความเข้มข้นที่ซับซ้อน: โปรแกรมนี้มีการผสมผสานความเข้มข้นที่ซับซ้อนในเซสชันเดียวเพื่อจำลองสภาวะการแข่งขัน ตัวอย่างเช่น การวิ่ง M Pace (Marathon Pace) สลับกับ T Pace (Threshold Pace) เพื่อฝึกให้นักวิ่งสามารถฟื้นตัวจากการวิ่งที่ความเข้มข้นสูง (T) ขณะที่ยังคงรักษาเพซมาราธอน (M) ได้ ซึ่งเป็นการจำลองความสามารถในการรับมือกับการเร่งความเร็วในการแข่งขันแล้วกลับไปสู่จังหวะที่เร็วโดยไม่ล้ม
  • การฝึกความเร็ว (R/I Pace): ต่างจาก Program A ที่ใช้เพียง Strides โปรแกรม Elite มีการรวม I Pace (Intervals) และ R Pace (Repetition) เข้าไปใน Q2 อย่างเป็นทางการ เพื่อรักษาและเพิ่มพลังแอโรบิกสูงสุด (VO2max) และความเร็วเชิงกลไก (running economy)

4.2.4 การจัดการเพซและการปรับตัว

  • การกำหนดเพซ: เพซการฝึกซ้อมถูกกำหนดโดยใช้ VDOT จากผลการแข่งขันล่าสุด (ภายใน 6–8 สัปดาห์)
    • นักวิ่งที่ช้ากว่าในโปรแกรมนี้ควรใช้ เวลา ในการกำหนดความเข้มข้นแทนระยะทาง เช่น 1 ไมล์ E ประมาณ 6 นาที, 1 ไมล์ M ประมาณ 5 นาที และ 1,000 เมตร I ประมาณ 3 นาที
  • การฟื้นตัว: วันอื่น ๆ ทั้งหมดนอกเหนือจาก Q1 และ Q2 เป็นการวิ่ง Easy (E Pace) โดยมีเป้าหมายเพื่อสะสมระยะทางรายสัปดาห์ มีการแนะนำให้เพิ่ม Strides (การวิ่งสั้น ๆ เร็ว) หลังการวิ่ง E runs ในวันรุ่งขึ้นหลัง Q1 และสองวันก่อน Q1 ถัดไป

โดยสรุป โปรแกรม Elite ของแดเนียลส์ถูกออกแบบมาสำหรับนักวิ่งที่ต้องการผลักดันขีดจำกัดความเร็วและความทนทานไปพร้อมกัน โดยใช้โครงสร้างต่อเนื่อง 18 สัปดาห์ที่เต็มไปด้วยการฝึกซ้อมคุณภาพที่มีความหนาแน่นสูงและซับซ้อน ซึ่งต้องอาศัยฐานความฟิตเดิมที่แข็งแกร่งมากและความสามารถในการฟื้นตัวที่รวดเร็ว

4.3 โปรแกรมสำหรับผู้เริ่มต้น

โปรแกรมสำหรับผู้เริ่มต้น/นักวิ่งครั้งแรก (First-Timer Program) เป็นแผนการฝึกซ้อมมาราธอนที่แดเนียลส์ออกแบบมาโดยเฉพาะสำหรับผู้ที่มีเป้าหมายหลักคือ การวิ่งให้จบ (completing the distance) ด้วยความพึงพอใจและสุขภาพที่ดี แผนนี้มีระยะเวลาฝึกซ้อมรวม 18 สัปดาห์ ซึ่งแตกต่างจาก Program A ที่มีระยะเวลา 24 สัปดาห์ และเน้นไปที่การสร้างความทนทานและความสม่ำเสมอมากกว่าความเข้มข้นสูงสุด

ในบริบทของประเภทแผนการฝึกมาราธอน แผนสำหรับผู้เริ่มต้นนี้มีความแตกต่างอย่างมากจากแผนระดับ Elite หรือ Program A โดยเน้นที่ปรัชญา “ความปลอดภัยต้องมาก่อน” และ “ความถี่เหนือความเข้มข้น”

4.3.1 ปรัชญาและเป้าหมายหลัก

  • เป้าหมายคือการจบ: นักวิ่งกลุ่มนี้มักมีเป้าหมายที่น่ายกย่องในการเข้าร่วมมาราธอนโดยไม่มีเจตนาที่จะวิ่งให้เร็ว แดเนียลส์เน้นย้ำว่านักวิ่งเหล่านี้สามารถบรรลุเป้าหมายได้ โดยไม่ต้องทำตามรูปแบบการฝึกซ้อมเดียวกับนักวิ่งชั้นนำ
  • การจัดการข้อจำกัดด้านเวลา: แผนนี้เหมาะสำหรับผู้ที่มีเวลาจำกัดในการฝึกซ้อม (short-season runners) หากนักวิ่งมีพื้นฐานการวิ่งน้อยหรือไม่มีมาก่อน พวกเขาจะต้องเรียนรู้วิธีการใช้เวลาอยู่บนเท้า (spending time on your feet) ก่อน
  • ความทนทานเชิงโครงสร้าง: เนื่องจากผู้เริ่มต้นหลายคนอาจมีพื้นฐานการวิ่งน้อย การฝึกซ้อมจึงเน้นที่การสร้างความแข็งแรงเชิงโครงสร้างของกล้ามเนื้อและกระดูก และการสร้างนิสัยการวิ่ง (getting into the habit of running)

4.3.2 องค์ประกอบของการฝึกซ้อม (เน้น Easy และ M)

เพื่อที่จะวิ่งมาราธอนจบได้อย่างประสบความสำเร็จ แดเนียลส์ระบุว่า ไม่จำเป็นต้องรวมการวิ่งระยะ 20 ไมล์ขึ้นไป ไว้ในโปรแกรม และไม่จำเป็นต้องมีการฝึกซ้อมที่ซับซ้อน:

  • E Pace (Easy Runs): การวิ่งส่วนใหญ่เป็น Easy Pace (E) ซึ่งเป็นเพซที่สบายและสามารถพูดคุยได้ การวิ่ง E run ช่วยสร้างความต้านทานต่อการบาดเจ็บและพัฒนาโปรไฟล์แอโรบิก
  • การเพิ่มระยะทางสะสม: นักวิ่งในกลุ่มนี้ควรตั้งเป้าหมายระยะสะสมสูงสุดต่อสัปดาห์ (peak weekly mileage) ที่สมจริง โดยอาจอยู่ที่ 40 ไมล์หรือน้อยกว่า หากไม่มีพื้นฐานการวิ่งมาก่อน การฝึกซ้อมรายวันไม่ควรเกิน 30 นาที และอาจต้องแบ่งออกเป็นช่วงสั้น ๆ พร้อมพักเดิน
  • การฝึกซ้อม T Pace ที่เรียบง่าย: Threshold running (T) ถูกแนะนำให้ใช้โดยการกำหนดตาม ความรู้สึกส่วนตัว (subjectively) ว่าเป็น “สบาย ๆ แต่หนัก” (comfortably hard) การฝึก T run ควรถูกจำกัดด้วย เวลา มากกว่าระยะทาง (เช่น การสะสม T pace รวม 30 นาทีต่อครั้ง) โดยสามารถแบ่งออกเป็น 2-3 ช่วง (เช่น 10-15 นาที) พร้อมพักสั้น ๆ 1-2 นาที
  • M Pace (Marathon Pace): การวิ่ง M Pace (Marathon Pace) ถูกนำมาใช้ในโปรแกรม โดยมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อ ฝึกความจำเพาะต่อการแข่งขัน และ ฝึกปฏิบัติการเติมเชื้อเพลิง (practice drinking) M pace ควรเป็นเพซที่อยู่กึ่งกลางระหว่าง E และ T
  • Strides: แม้จะไม่มีการฝึกซ้อมแบบ Repetition (R) หรือ Intervals (I) อย่างเป็นทางการ แต่ยังมีการแนะนำให้เพิ่ม Strides (5-6 ครั้ง ครั้งละ 20-30 วินาที) หลังจากการวิ่ง E runs สองถึงสามครั้งต่อสัปดาห์ เพื่อรักษาการทำงานของระบบประสาทและกล้ามเนื้อ

4.3.3 การจัดการวิ่งระยะยาว (Long Run – L)

  • การจำกัดเวลา: แดเนียลส์กำหนดเพดานสำหรับ Long Run (L run) ไว้ที่ 2.5 ชั่วโมง หรือ 25-33% ของระยะทางรวมต่อสัปดาห์ แล้วแต่ว่าอย่างไหนน้อยกว่า การจำกัดนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับนักวิ่งที่ช้ากว่า เพราะจะช่วยป้องกันความเสี่ยงต่อการบาดเจ็บและการฟื้นตัวที่ล่าช้าอันเนื่องมาจากการวิ่งนานเกินไป
  • การพักเดิน (Walk Breaks): ผู้เริ่มต้นได้รับการสนับสนุนให้ แทรกการเดิน เข้าไประหว่างการวิ่งหากจำเป็น และควรถือว่าเวลาที่ใช้ในการเดินเป็น “ช่วงเวลาคุณภาพ” ที่สามารถใช้ในการจิบเครื่องดื่มหรือพักผ่อน

4.3.4 โครงสร้างแผน 18 สัปดาห์ (Phases)

  • Phase I (Weeks 1-6): เน้นที่การสร้างฐาน (Base Conditioning) และความสม่ำเสมอ โดยเป็นการวิ่ง E pace เป็นหลัก อาจรวมการเดินเข้าไปด้วย
  • Phase II (Weeks 7-12): เริ่มต้นการฝึกซ้อมคุณภาพเบื้องต้น มีการเพิ่ม Long Run (L) และ T run ที่มีความยาวต่อเนื่อง 20–30 นาที (อาจแบ่งช่วงได้)
  • Phase III (Weeks 13-18): ช่วงสุดท้ายที่ประกอบด้วยการสร้างความทนทานและ Taper มีการวิ่ง M pace ที่ยาวขึ้น (เช่น M run 12 ไมล์หรือ 2 ชั่วโมงในสัปดาห์ที่ 17) แดเนียลส์มีข้อแม้ว่า หาก 4 สัปดาห์ก่อนการแข่งขัน นักวิ่งยังไม่สามารถวิ่งได้ตามเป้าหมาย 15 ไมล์หรือ 2.5 ชั่วโมง ที่เพซมาราธอนที่คาดไว้ อาจต้องพิจารณาเลื่อนการแข่งขันออกไป

แผนสำหรับผู้เริ่มต้นนี้จึงเป็นแม่แบบที่เน้นความสอดคล้อง ความปลอดภัย และการปรับตัวของร่างกายเพื่อให้สามารถทนต่อระยะทางที่ยาวนาน โดยไม่ต้องเสี่ยงต่อการบาดเจ็บจากการฝึกซ้อมที่หนักเกินความสามารถในการฟื้นตัว ซึ่งเป็นความเสี่ยงที่พบได้บ่อยในหมู่นักวิ่งหน้าใหม่

กล่าวโดยสรุป การฝึกซ้อมสำหรับผู้เริ่มต้นนั้นคล้ายกับการเรียนรู้การประกอบรถยนต์จากชิ้นส่วนที่จำเป็นเท่านั้น โดยเน้นที่การทำให้เครื่องยนต์พื้นฐาน (E/L) ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและสามารถรักษาความเร็วที่เหมาะสม (M/T) ไว้ได้ตลอดระยะทางที่กำหนด โดยละเว้นองค์ประกอบด้านความเร็วสูง (I/R) ที่เป็นของนักวิ่งอาชีพ

5. หลักการและข้อควรระวัง

สูตรการวิ่งของแดเนียลส์ (Daniels’ Running Formula) สำหรับการวิ่งฮาล์ฟมาราธอนและมาราธอนนั้นตั้งอยู่บนหลักการทางสรีรวิทยาที่แม่นยำ โดยมีปรัชญาหลักคือการใช้ ปริมาณการฝึกซ้อมที่น้อยที่สุดเพื่อให้ได้ผลลัพธ์สูงสุด (least amount of work to get the maximum benefit) ซึ่งต้องอาศัยการปฏิบัติตามหลักการและข้อควรระวังหลายประการ

5.1 หลักการพื้นฐานในการฝึกซ้อมระยะยาว (Core Principles)

  1. ความจำเพาะของความเข้มข้น (Specificity of Intensity):
    • แดเนียลส์เน้นย้ำว่าการวิ่งมาราธอนส่วนใหญ่คือการแข่งขันที่วิ่ง ต่ำกว่าเกณฑ์แลคเตท (below your lactate threshold) ดังนั้น เป้าหมายหลักของการฝึกมาราธอนจึงไม่ใช่การเพิ่มความทนทานต่อความเป็นกรด (anaerobic capacity) แต่เป็นการ ยกระดับความเร็วที่นักวิ่งสามารถวิ่งได้ในขณะที่ยังคงใช้ระบบแอโรบิกเป็นหลัก ซึ่งทำได้โดยการยกระดับเกณฑ์แลคเตท (T Pace)
    • การฝึกซ้อมทุกไมล์ต้องมี วัตถุประสงค์ทางสรีรวิทยาที่ชัดเจน เพื่อหลีกเลี่ยง “ระยะทางที่ไร้ประโยชน์” (junk miles)
  2. การยึดถือ VDOT ในการกำหนดเพซ:
    • ควรใช้ คะแนน VDOT ซึ่งคำนวณจากผลการแข่งขันล่าสุด (เช่น 5K, 10K, หรือฮาล์ฟมาราธอน) เพื่อ กำหนดเพซการฝึกซ้อม (E, M, T, I, R) ที่แม่นยำ
    • ควรใช้เวลาการแข่งขันจากช่วง หกถึงแปดสัปดาห์ก่อนหน้า หรือเวลาที่สะท้อนถึงระดับความฟิต ปัจจุบัน ในการกำหนดเพซ
  3. ความสำคัญของการวิ่ง Easy (E Pace) และ Base Building:
    • Phase I (Base Conditioning) ควรใช้เวลานานกว่า 6 สัปดาห์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่เพิ่งเริ่มต้นหรือกลับมาฝึกซ้อมหลังหยุดพักนาน ซึ่งอาจใช้เวลาถึง 2-3 เดือน เพื่อสร้างฐานที่แข็งแกร่ง
    • E pace (เพซง่าย) มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการปรับตัวของเซลล์ เช่น การสร้างไมโทคอนเดรีย (mitochondrial biogenesis) และเพิ่มความหนาแน่นของหลอดเลือดฝอย
    • การสะสมระยะทางง่าย ๆ อย่างสม่ำเสมอเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการพัฒนา ความทนทานเชิงโครงสร้าง (Structural Durability) ของเอ็นยึดข้อต่อและกล้ามเนื้อ เพื่อให้ทนต่อแรงกระแทกนับหมื่นครั้งในการวิ่งระยะยาว
  4. การฝึกความจำเพาะต่อการแข่งขัน (M Pace) และการจัดการเชื้อเพลิง:
    • M pace (Marathon Pace) มีความสำคัญต่อการ ฝึกความจำเพาะต่อการแข่งขัน และการปรับปรุง เศรษฐศาสตร์แอโรบิก (aerobic economy) โดยกระตุ้นการออกซิไดซ์กรดไขมัน (Fat Oxidation) ซึ่งช่วย สงวนไกลโคเจน (glycogen sparing)
    • การฝึกปฏิบัติการเติมเชื้อเพลิง (Practice Fueling) เป็นส่วนสำคัญของ L runs และ M runs โดยนักวิ่งควรฝึกการรับประทานอาหาร/ของเหลวขณะวิ่งที่ความเร็วที่ต้องการ

5.2 ข้อควรระวังและข้อจำกัดที่เข้มงวด (Cautions and Limitations)

  1. ข้อควรระวังในการวิ่ง Easy (E Pace):
    • นักวิ่งสมัครเล่นมักทำผิดพลาดโดยการวิ่ง E run เร็วเกินไป ซึ่งทำให้เข้าสู่ “โซนสีเทา” (grey zone) ที่ไม่กระตุ้นการปรับตัวสูงสุด แต่ทำให้เกิดความเหนื่อยล้าที่ไม่จำเป็น ซึ่งเป็นอุปสรรคต่อการฟื้นตัวสำหรับการฝึกซ้อมคุณภาพ
    • E runs ควรเป็นไปในลักษณะที่ สบายและสามารถพูดคุยได้ (conversational)
  2. กฎ 2.5 ชั่วโมงสำหรับการวิ่งระยะยาว (The Long Run Limit):
    • แดเนียลส์กำหนดข้อจำกัดที่เข้มงวดสำหรับการวิ่งระยะยาว (L run) โดยไม่ควรเกิน 2.5 ชั่วโมง หรือ 25% (หรือ 25-33%) ของระยะทางรวมต่อสัปดาห์ แล้วแต่ว่าอย่างไหนน้อยกว่า
    • เหตุผลคือ ผลตอบแทนทางสรีรวิทยาจะลดลง (diminishing returns) หลัง 2.5 ชั่วโมง ในขณะที่ ความเสี่ยงต่อการบาดเจ็บทางออร์โทพีดิกส์ (orthopedic injury) และการสลายตัวของระบบจะเพิ่มขึ้นอย่างมาก โดยเฉพาะสำหรับนักวิ่งที่ใช้เวลานานกว่า 4 ชั่วโมงในการวิ่งมาราธอน
  3. ห้ามฝึกซ้อมตาม VDOT เป้าหมาย (Train at Current VDOT):
    • เป็นสิ่งสำคัญที่นักวิ่งจะต้องไม่ฝึกซ้อมด้วย VDOT ที่กำหนดจากเวลาที่ตนเอง ต้องการ วิ่ง (Goal VDOT) แต่ต้องฝึกซ้อมด้วย VDOT ที่กำหนดจาก ผลการแข่งขันปัจจุบัน
    • การทำนายเวลา (Prediction) จาก VDOT (เช่น 5K = 3:11 มาราธอน) ถือว่ามีการฝึกซ้อมมาราธอนและระยะทางสะสมที่เพียงพอแล้ว หากขาดการฝึกซ้อมที่เหมาะสม นักวิ่งอาจไม่สามารถทำเวลาที่ทำนายไว้ได้
  4. การจัดการปริมาณการฝึกซ้อม (Volume Management):
    • ควรเพิ่มระยะทางสะสมรวมต่อสัปดาห์ไม่เกิน 10 ไมล์ (หรือประมาณหนึ่งชั่วโมงของการวิ่ง) และควรเพิ่มเพียง ทุก ๆ สามสัปดาห์ เพื่อให้ร่างกายมีการปรับตัวและหลีกเลี่ยงการบาดเจ็บ
    • หากวิ่งเกิน 50 ไมล์ต่อสัปดาห์ ควรพิจารณาการวิ่ง สองครั้งต่อวัน (two-a-day runs) แทนการเพิ่มระยะทางในการวิ่งครั้งเดียวให้ยาวขึ้น เพื่อลดความเครียดทางกลไกต่อร่างกาย
  5. การจัดการการบาดเจ็บและการฟื้นตัวจากการแข่งขัน:
    • ห้ามชดเชยการฝึกซ้อมที่ขาดไป: หากขาดการฝึกซ้อมไป ควรยอมรับการสูญเสียความฟิตนั้น และ ไม่ควรพยายามเพิ่มความเข้มข้น หรือชดเชยการวิ่งที่พลาดไปในเซสชันอื่น เพราะจะนำไปสู่การบาดเจ็บ การหยุดพักหนึ่งวันดีกว่าการฝึกซ้อมหนักเกินไป
    • เมื่อมีการแข่งขัน (Tune-up Race) ควรจัดให้มีวันวิ่ง Easy (E Pace) อย่างน้อย 3 วันก่อนการแข่งขัน และ อย่างน้อย 3 วันหลังการแข่งขัน ก่อนที่จะกลับไปฝึกซ้อมคุณภาพ
    • เป้าหมายหลัก คือการเข้าสู่เส้นสตาร์ทมาราธอนด้วย สุขภาพที่ดีและจิตใจที่พร้อม

หลักการและข้อควรระวังเหล่านี้เปรียบเสมือน คู่มือการใช้เครื่องจักรที่ละเอียดอ่อน หากผู้ใช้เลือกเพซที่ไม่เหมาะสม (เช่น วิ่ง E pace เร็วเกินไป) หรือละเลยข้อจำกัดด้านเวลา (เช่น วิ่ง L run นานเกิน 2.5 ชั่วโมง) ก็อาจทำให้เครื่องจักร (ร่างกาย) เสียหายหรือทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพในวันแข่งขันจริง

ใส่ความเห็น