วันนี้ คุยกันเนื้อหา แผนการซ้อมมาราธอน VDOT ตอบคำถามจากเพจ Citytrailrunners อธิบายการอ่านตารางซ้อมลงแข่ง Marathon ตามแนวทางของ Jack Daniels หรือที่รู้จักกันในชื่อ VDOT
ลุง Jack แนะนำตารางซ้อมในหนังสือ Daniels’ Running Formula ในบทที่ 20 สามารถอ่าน blog หรือฟัง Podcast ที่ CityTrailTALK ตอนนี้ครับ VDOT Half-Marathon and Marathon Training Plan – CitytrailBlog (citytrailrunners.com)
แต่เนื้อหาตอนนี้ไม่ได้ลงรายละเอียดวิธีการอ่านตารางซ้อมของลุง Jack เพื่อนำไปทำเป็นตารางวิ่งจริงตลอด 24 สัปดาห์ EP นี้เลยมาขอขยายความวิธีการอ่านและนำไปทำเป็นตารางซ้อมครับ
ตารางซ้อมวิ่งมาราธอน ลุง Jack แนะนำให้ 3 โปรแกรมใหญ่ ๆ ให้นักวิ่งเลือกใช้ให้เหมาะสมกับตัวเอง คือ
- ตารางสำหรับนักวิ่งทั่วไป – Marathon Training Plan A ถ้านักวิ่งตั้งเป้า PB หรือจะถ้วยรางวัลก็แล้วแต่ แต่เวลาจบตั้งแต่ 3 ชั่วโมงขึ้นไป ตารางนี้น่าจะเหมาะสม
- ตารางสำหรับนักวิ่งแนวหน้า – Elite Training Plan เหมาะสมสำหรับนักวิ่งที่ทำเวลาอย่างน้อย 3 ชั่วโมงลงมา (Sub3) เป็นโปรแกรมที่เข้มข้น ระยะทางที่วิ่งในแต่ละสัปดาห์ (Weekly Mileage) สูงมาก
- ตารางสำหรับนักวิ่งที่ต้องการเพียงแค่เข้าเส้นชัยมาราธอนภายในเวลาที่กำหนด – Training Program for Runners who want to complete a Marathon เป็นโปรแกรมที่สร้างความแข็งแรง ความอึด ให้กับนักวิ่งที่ต้องการจบมาราธอนแรก หรือร้างลาสนามและอยากกลับมาลงสนามมาราธอน
การอ่านตารางจะมีวิธีการอ่านเหมือนๆ กัน คือ ต้องเข้าใจแนวคิดของ Jack Daniels ที่พูดถึงหลักการซ้อม การคำนวณความเร็วในการซ้อมที่เหมาะสม การกำหนดระยะทางหรือระยะเวลาในการซ้อม การกำหนดประเภทของการซ้อมเพื่อพัฒนาองค์ประกอบทางกายเพื่อยกระดับความสามารถร่างกาย ฯลฯ โดยสมมติว่าพวกเราเข้าใจมาระดับหนึ่งแล้ว แต่จะขอทบทวนความเข้าใจและแนะนำขั้นตอนอ่านตารางดังนี้
- Pace ที่ใช้ซ้อม จะคำนวณจากสภาพร่างกายปัจจุบันของนักวิ่ง โดยใช้สถิติการวิ่งลงแข่งภายล่าสุด แต่ก็ไม่ควรเกิน 1 เดือน แต่ถ้าไม่มี ก็สามารถวิ่งทดสอบสภาพร่างกายได้ โดยจำลองสถานการณ์เหมือนลงแข่ง คือ การวิ่งในระยะทางที่กำหนดแบบเต็มที่ (all-out) และใช้ VDOT Calculator จาก app VDOT หรือเว็บ https://runsmartproject.com/calculator/ ก็ได้ โดยใช้ระยะตั้งแต่ 1.5 km ขึ้นไปก็สามารถคำนวณได้แล้ว
- ประเมินร่างกายและเป้าหมายการวิ่งในรายการที่ต้องการลงแข่งเพื่อกำหนดว่า Weekly Mileage หรือระยะทางที่ต้องวิ่งได้ในแแต่ละสัปดาห์ควรเป็นเท่าไร ถ้าเป้าหมาย Sub3 ใช้ตาราง Elite Training Plan อย่างน้อยต้องวิ่งให้ได้ 150 km ต่อสัปดาห์ แต่ถ้าเป้าหมายมากกว่า 3 ชั่วโมง ใช้ตาราง Training Plan A อาจจะวิ่งสัปดาห์ละ 100 km ก็สามารถบรรลุเป้าหมายได้
- ยกตัวอย่างการอ่านตารางของ Elite Training Plan ดังตารางด้านล่าง จะเห็นว่า ตารางแบ่งเป็น Phase ตั้งแต่ I, II, III, และ IV (ในตารางพิมพ์ผิดนะครับ Phase I ไม่ใช่ Phase A) โดยที่ Fraction of peak mileage คือระยะสูงสุดประจำสัปดาห์ที่ต้องวิ่งได้ ตัวอย่างเช่นกำหนดที่ 150 km ในสัปดาห์ที่ 1-6 ไม่ได้มีตัวเลขแสดง ก็หมายความว่าวิ่งตามคำแนะนำโดยไม่ต้องถึง 150 km ก็ได้ แต่ในสัปดาห์ที่ 7 กำหนดตัวเลขเป็น 0.80 แสดงว่าต้องวิ่งในสัปดาห์นี้ให้ได้ 150×0.80= 120 km
- กำหนดจำนวนวันซ้อมในแต่ละสัปดาห์ ในกรณีของ Elite ก็จะวิ่ง 6-7 วันต่อสัปดาห์ เพราะระยะทางประจำสัปดาห์เยอะมาก แต่ถ้าใช้ตาราง Training Plan A ก็จะวิ่งระหว่าง 4-6 วันต่อสัปดาห์ แต่ถ้าเป็นตารางสำหรับเป้าหมายแค่การจบมาราธอน ก็จะวิ่งประมาณ 3-4 วันต่อสัปดาห์ก็เพียงพอ แต่จะวิ่งมากกว่านั้นก็ได้ โดยเป็นการวิ่งที่ E Pace ครับ
- Q1 workout หมายถึง Quality Run ที่ต้องวิ่งช่วงต้นสัปดาห์หลังจากที่ ร่างกายได้รับการฟื้นฟูจากการซ้อมในสัปดาห์ก่อนอย่างเต็มที่ พร้อมจะวิ่งหนักใน Quality Run ครั้งที่ 1 (Q1) โดยจะกำหนดวิ่งเป็นวันแรกของสัปดาห์หรือวันที่ 2 สมมติว่าวันแรกของสัปดาห์คือวันจันทร์ ก็วิ่ง Q1 วันจันทร์
- Q2 workout หมายถึง Quality Run ที่วิ่งในวันถัดจาก Quality Run ครั้งที่ 1 โดยจะวางไว้ห่างจาก Q1 ประมาณ 2-3 วัน ไม่ควรวิ่งติดกับ Q1 เพื่อให้ร่างกายได้ฟื้นฟูบ้าง แต่ถ้ามีความจำเป็น ก็สามารถวิ่งได้ เพราะ Q2 จะมีความเข้มข้นน้อยกว่า Q1 แต่ถ้าให้ร่างกายได้ฟื้นฟูบ้าง จะได้ประสิทธิผลในการซ้อมที่ดีกว่าและลดความเสี่ยงในการบาดเจ็บได้มากกว่า สมมติว่าวิ่ง Q1 วันจันทร์ Q2 ควรวิ่งในวันพุธหรือพฤหัส
- สัปดาห์ที่ 1-3 ไม่มี Q1, Q2 วิ่งเหมือนกันทุกวันตามคำแนะนำในตารางที่บอกว่าให้วิ่ง 7 วัน อย่างน้อย 30 นาที ที่ E Pace แต่ควรจะวิ่งเกิน 30 นาที แนะนำให้วิ่ง 45-60 นาทีครับ ทั้งนี้ไม่รวม warm-up, cool-down และการฝึก drills & strides หรือ stretching ต่าง ๆ นะครับ
- สัปดาห์ที่ 4-6 ไม่มี Q1, Q2 เช่นกัน โดยให้วิ่งยาว (Long Run) เป็นระยะทาง 25% ของระยะวิ่งประจำสัปดาห์ หรือไม่เกิน 2:30 ชั่วโมงแล้วแต่อันไหนน้อยกว่า สมมติว่า ระยะวิ่งประจำสัปดาห์ที่ 150 km ก็ควรจะวิ่ง Long Run 37.5 km จะเห็นว่าระยทางเยอะมาก เพราะเป็นตารางของ elite ครับ เพราะวิ่ง Pace 4 min/km ก็วิ่งได้ แต่ถ้าวิ่งช้ากว่า Pace 4 ก็วิ่งแค่ 2:30 ชั่วโมงก็พอครับ ส่วนวันที่เหลือก็วิ่ง E Pace 30 นาทีหรือมากกว่า โดยในคำแนะนำเหมือนสัปดาห์ที่ 1-3 แต่จะมีเพิ่มการฝึก strides จำนวน 6-8 เที่ยว เที่ยวละ 20-30 วินาที (Elite คงเลือก 8 เที่ยว ๆ ละ 30 วินาที)
- ตั้งแต่สัปดาห์ที่ 7 จนถึงสัปดาห์ที่ 23 จะใช้แนวทางการสร้างตารางดังนี้ครับ
- ดูตัวเลขในคอลัมน์ Fraction of peak mileage กรณีสัปดาห์ที่ 7 จะเป็น 0.80 จะได้ Weekly Mileage = 150×0.80 = 120 km
- วาง Q1 ไว้ต้นสัปดาห์ สมมติว่า เลือกวันจ้นทร์ ก็จะวิ่งตามคำแนะนำในช่อง Q1 ในสัปดาห์นี้ ตารางกำหนดเป็นระยะทาง(หรือเวลา)ให้วิ่งพร้อมกับ Pace จึงไม่ต้องคำนวณ จะเลือกระยะทางที่แนะนำหรือเวลาก็ได้ แต่ลุง Jack มักจะแนะนำให้ใช้เวลาเป็นเกณฑ์ในการซ้อมเพื่อควบคุม Stress ที่ร่างกายได้รับในการซ้อมแต่ละครั้ง (ระยะทางที่เท่ากันแต่จะมี Stress ต่างกันมาก ถ้า Pace ต่างกัน) โดยคำนวณระยทางที่วิ่งได้ทั้งหมดใน Q1 เพื่อนำไปหักออกจากระยะวิ่งประจำ ในกรณีสัปดาห์ที่ 7 จะได้ระยะทาง Q1 ประมาณ 27 km ดังนั้นวันที่เหลืออีก 6 วันต้องวิ่งให้ได้ 120-27 = 93 km (ลุง Jack แนะนำตัวเลขง่ายๆ ในการเปลี่ยนจาก mile เป็น km คือคูณด้วย 1.5)
- วาง Q2 ในวันพฤหัส ในกรณีสัปดาห์ที่ 7 Q2 ที่แนะนำให้เป็นระยะทาง(หรือเวลา) พร้อมกับ Pace ก็วิ่งตามกำหนดได้เลย และคำนวณระยะทางต่อว่า Q2 วิ่งได้ระยะทางเท่าไร ตามตารางจะได้ 18 km ดังนั้นที่ที่เหลือ 5 วันต้องวิ่งให้ได้ระยะ 93-18 = 75 km
- วันที่เหลือ 5 วัน ให้วิ่ง E Pace ด้วยระยะทาง 75/5 = 15 km โดยสามารถแยก session การวิ่งได้ เช่นแต่ละวันสามารถวิ่ง เช้า 10 km เย็น 5 km หรือจะวิ่งรวดเดียว 15 km ก็ได้
- ตารางการวิ่ง 7 วันก็จะได้ประมาณนี้ Mon – Q1, Tue – Easy, Wed – Easy, Thu – Q2, Fri – Easy, Sat – Easy, Sun – Easy
- ถ้า Q1 หรือ Q2 กำหนดระยะทาง(หรือเวลา) โดยอ้างอิงกับ Weekly Mileage (พบได้เยอะในตาราง Training Plan A กับ ตารางสำหรับเป้าหมายแค่การจบมาราธอน) ก็นำเอาเปอร์เซ็นต์ที่แนะนำไปคูณกับ Weekly Mileage ของสัปดาห์นั้นครับ (Max Weekly Mileage X Fraction of peak mileage)
วิธีการสร้างตารางซ้อมตามคำแนะนำของลุง Jack ก็ประมาณนี้ครับ