🏃‍♂️ เจาะลึกการฝึกซ้อมนักวิ่งระยะไกล: โครงสร้าง กลยุทธ์ และการติดตามพัฒนาการ – สรุป EP208 (พาร์ต 1 & 2)

CityTrailRunners Gang's avatarส่งโดย


📌 EP208 คือคู่มือฉบับสมบูรณ์ สำหรับนักวิ่งที่อยากเข้าใจหลักวิทยาศาสตร์ของการฝึกซ้อมจริงจัง พร้อมวิธีวางแผนฝึกให้แม่นยำและยั่งยืน

🎧 ฟังเต็ม ๆ ได้ที่ YouTube / Spotify / Apple Podcast


TL:DR
การพัฒนาศักยภาพของนักวิ่งระยะไกลไม่ใช่เรื่องของ “ฝึกให้หนักขึ้น” อย่างเดียว แต่ต้องอาศัย ความเข้าใจเชิงสรีรวิทยาอย่างลึกซึ้ง และการออกแบบโปรแกรมฝึกอย่างเป็นระบบ Podcast EP208 ของเราได้นำเสนอเนื้อหาจาก Daniels’ Running Formula – Physiology of Training Intensities พร้อมสรุป 6 เสาหลักทางสรีรวิทยา, แนวทางฝึกตามโซนต่าง ๆ, ระบบ VDOT, และเทคนิคการติดตามพัฒนาการที่ใช้ได้จริง

✅ หัวใจของการฝึก: พัฒนาสรีรวิทยา 6 เสาหลัก

EP208 เริ่มต้นด้วยการอธิบาย “รากฐานของสมรรถภาพ” ที่แบ่งออกเป็น 6 ด้านสำคัญ ได้แก่ ระบบหัวใจ-หลอดเลือด, ระบบกล้ามเนื้อ, Lactate Threshold, VO₂max, ความเร็ว (Speed), และ Running Economy โดยแต่ละด้านมีวิธีการฝึกเฉพาะ เช่น:

  • Easy Runs / Long Runs (E zone) เน้นเพิ่มความทนทานของระบบหัวใจและกล้ามเนื้อ
  • Threshold Pace (T zone) สำหรับพัฒนา Lactate Threshold
  • Interval Training (I zone) เพื่อดึงศักยภาพ VO₂max ออกมา
  • Repetition Runs (R zone) สำหรับฝึกเทคนิคและความเร็ว

🎯 ระบบโซนการฝึก & VDOT

เพื่อให้การฝึกมีประสิทธิภาพ นักวิ่งต้องรู้ว่า “ควรฝึก pace ไหน เพื่อให้ร่างกายตอบสนองตามเป้าหมาย” ระบบ VDOT คือหัวใจในการเชื่อมโยงข้อมูลทางวิทยาศาสตร์กับสนามวิ่งจริง โดยคำนวณจากเวลาแข่งขันหรือ Time Trial ช่วยให้กำหนด Training Paces ได้แม่นยำ โดยไม่ต้องเข้าห้องแล็บ

📊 Practical Monitoring: ติดตามผลได้อย่างแม่นยำ

EP208 ยังให้แนวทาง “การติดตามพัฒนาการที่ใช้ได้จริง” ไม่ว่าจะเป็น:

  • ผลการแข่งขัน / Time Trial (ใช้คำนวณ VDOT)
  • การสังเกตอัตราการเต้นของหัวใจขณะพัก (Resting HR) และขณะซ้อม
  • RPE (Rate of Perceived Exertion) และความรู้สึกในการฟื้นตัว
  • การวัดแลคเตท (ถ้ามีอุปกรณ์)

🧩 เติมเต็มด้วย “การฝึกเสริม”

แม้จะไม่ใช่แกนหลักในการพัฒนา VO₂max หรือ Threshold แต่ การฝึกเสริม อย่าง Strength Training, Mobility/Flexibility, โภชนาการ และการให้น้ำ ล้วนเป็นปัจจัยที่ช่วยให้นักวิ่งรับภาระการฝึกได้มากขึ้น ลดการบาดเจ็บ และวิ่งได้ประหยัดพลังงานมากขึ้น

⛰️ การฝึกซ้อมที่ความสูง (Altitude Training)

EP208 ยังเจาะลึกเรื่อง “การฝึกที่ความสูงระดับ 2,000–2,500 เมตร” เพื่อกระตุ้นร่างกายให้ปรับตัว เพิ่มปริมาตรเลือด และเมื่อกลับมาระดับน้ำทะเล จะมีผลต่อการพัฒนาความอึดและสมรรถภาพโดยรวม (แต่ต้องวางแผนและมีช่วงปรับตัวที่ดี)


ตามแหล่งข้อมูลและประวัติการสนทนาของเรา การทำความเข้าใจเกี่ยวกับ “องค์ประกอบสรีรวิทยาหลัก 6 ประการ” ถือเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในการออกแบบโปรแกรม “การฝึกซ้อมสำหรับนักวิ่งระยะไกล” ที่มีประสิทธิภาพและเป็นระบบ. เอกสารอ้างอิงหลักการจาก “Daniels’ Running Formula – Physiology of Training Intensities” ซึ่งระบุถึง “6 เสาหลักของสมรรถภาพ” ที่จำเป็นสำหรับนักวิ่งระยะไกล.

องค์ประกอบสรีรวิทยาหลัก 6 ประการสำหรับนักวิ่งระยะไกล

เอกสารได้จัดหมวดหมู่องค์ประกอบเหล่านี้เพื่อความชัดเจนในการทำความเข้าใจและนำไปประยุกต์ใช้ในการฝึกซ้อม โดยสององค์ประกอบแรกเป็น “ระบบ” ทางกายภาพที่แท้จริงของร่างกาย ส่วนที่เหลือเป็น “ปรากฏการณ์ที่ซับซ้อน” ที่สามารถพัฒนาได้ผ่านการฝึกซ้อมที่เฉพาะเจาะจง.

ร่างกายก็เหมือนคอมพิวเตอร์: ฝึก Hardware ด้วย E-runs อัปเกรด Software ด้วย T-I-R

นักวิ่งระยะไกลไม่ต่างจากระบบคอมพิวเตอร์ที่ซับซ้อน — ร่างกายคุณมีทั้ง ฮาร์ดแวร์ (Hardware) และ ซอฟต์แวร์ (Software) ที่ต้องได้รับการพัฒนาอย่างสมดุล

ภาพอินโฟกราฟิกนี้เปรียบเทียบระบบสรีรวิทยาของนักวิ่งกับองค์ประกอบของคอมพิวเตอร์ เพื่ออธิบายให้เข้าใจง่ายว่า การฝึกซ้อมแต่ละแบบนั้นมีผลกับ “ส่วนไหน” ของระบบร่างกายคุณบ้าง


💡 Hardware = ระบบทางกายภาพของร่างกาย

ประกอบด้วย:

  • Cardiovascular System (ระบบหัวใจ-หลอดเลือด): เหมือน CPU และระบบจ่ายพลังงานที่ส่งเลือดและออกซิเจนไปยังกล้ามเนื้อ
  • Muscular System (ระบบกล้ามเนื้อ): เปรียบได้กับ RAM, GPU และระบบกลไกที่แปรสภาพพลังงานให้เป็นการเคลื่อนไหว

รูปแบบการฝึกที่พัฒนา Hardware ได้ดีที่สุด:

Easy Runs (E-Zone)

เน้นชั่วโมงฝึกที่ปริมาณมากแต่เข้มข้นน้อย เพื่อเสริมความแข็งแกร่งของหัวใจ, เพิ่ม stroke volume, เพิ่มปริมาณไมโตคอนเดรียในกล้ามเนื้อ และสร้างระบบเผาผลาญพลังงานที่มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น


🧠 Software = ปรากฏการณ์ซับซ้อนที่ต้องการการฝึกเฉพาะ

ประกอบด้วย:

  • Lactate Threshold: เหมือนกับความสามารถในการ “ประมวลผล” ได้รวดเร็วขึ้นโดยไม่ล้นระบบ
  • VO₂max: เปรียบได้กับความเร็วของนาฬิกา CPU — ยิ่งสูง ยิ่งเร็ว
  • Speed: ความสามารถในการทำงานแบบ peak performance
  • Running Economy: ประสิทธิภาพการใช้พลังงานของร่างกาย (ใช้พลังน้อยลง แต่ได้ผลลัพธ์เท่าเดิม)

รูปแบบการฝึกที่อัปเกรด Software:

Threshold (T-Zone) — เพิ่ม lactate threshold

Intervals (I-Zone) — ดันเพดาน VO₂max ให้สูงขึ้น

Repetitions (R-Zone) — ฝึก speed และปรับ biomechanics ให้คมขึ้น


🔁 วางแผนฝึกแบบนักวิ่งที่เข้าใจระบบตัวเอง

Train the Hardware with E runs: วิ่งช้าแต่นาน เพื่อเสริมพื้นฐานให้ระบบร่างกายแข็งแรงและทนทาน

Upgrade the Software with T-I-R runs: ใส่คุณภาพด้วยการฝึกความเข้มข้นเฉพาะด้าน เพื่อดึง performance ออกมาได้อย่างเต็มที่

1. ระบบหัวใจ-หลอดเลือด (Cardiovascular System)

    ◦ ทำไมสำคัญ: เป็นตัวส่งออกซิเจนไปยังกล้ามเนื้อที่กำลังทำงาน. ประสิทธิภาพขึ้นอยู่กับกำลังสูบฉีดของหัวใจ (Cardiac Output = Stroke Volume × Heart Rate) และความสามารถในการบรรทุกออกซิเจนของเลือด.

    ◦ วัตถุประสงค์การพัฒนา: เพิ่มความสามารถในการส่งออกซิเจน โดยเฉพาะการเพิ่มปริมาตรเลือดที่หัวใจบีบออกต่อครั้ง (stroke volume) และขยายปริมาตรเลือดโดยรวม. สิ่งนี้จะช่วยลดอัตราการเต้นของหัวใจขณะพักและขณะออกกำลังกายในระดับซับแม็กซ์ ทำให้ร่างกายรับภาระการฝึกที่สูงขึ้นได้โดยไม่ล้ามากเกินไป.

    ◦ กลไกสรีรวิทยา: การฝึกทำให้กล้ามเนื้อหัวใจแข็งแรงขึ้น เพิ่ม stroke volume. มีการเพิ่มปริมาตรพลาสมาในเลือดและการไหลเวียนเลือด (perfusion) ไปยังกล้ามเนื้อ. รวมถึงการปรับปรุงการกระจายเลือดไปยังกล้ามเนื้อขณะออกกำลังกาย.

    ◦ การฝึก: Easy/Long runs (E zone) ถือเป็นหัวใจหลักในการพัฒนาระบบนี้. “เวลา” ที่ใช้ในโซนความเข้มข้นต่ำนี้สำคัญกว่าความเข้มข้นที่สูง. Easy runs ควรคิดเป็นสัดส่วนสูงสุดของสัปดาห์ (60–75% ของชั่วโมงวิ่ง).

2. ระบบกล้ามเนื้อ (Muscular System / Peripheral Adaptations)

    ◦ ทำไมสำคัญ: กล้ามเนื้อคือจุดที่รับและแปรสภาพออกซิเจน. หากเซลล์กล้ามเนื้อมีไมโตคอนเดรีย (mitochondria) มากขึ้น, เอนไซม์ออกซิเดทีฟเพิ่มขึ้น และหลอดเลือดฝอย (capillarization) ดีขึ้น จะช่วยให้ใช้พลังงานแบบแอโรบิกได้มีประสิทธิภาพมากขึ้นและทนทานได้นานขึ้น.

    ◦ วัตถุประสงค์การพัฒนา: เพิ่มความสามารถในการประมวลผลออกซิเจนในระดับเซลล์ (เช่น เพิ่มจำนวนไมโตคอนเดรียและเอนไซม์ออกซิเดทีฟ). เพิ่มจำนวนและประสิทธิภาพของหลอดเลือดฝอย รวมถึงปรับปรุงการใช้เชื้อเพลิงของกล้ามเนื้อ (เก็บไกลโคเจน, ใช้ไขมันได้ดีขึ้น).

    ◦ กลไกสรีรวิทยา: การออกกำลังกายที่มีความเข้มข้นต่ำถึงปานกลางเป็นเวลานานจะกระตุ้นการสร้างไมโตคอนเดรีย, เพิ่มความหนาแน่นของหลอดเลือดฝอย และเพิ่มกิจกรรมของเอนไซม์ออกซิเดทีฟ.

    ◦ การฝึก: Easy runs & Long runs กระตุ้นการปรับตัวเหล่านี้ได้ดีที่สุด โดยเน้นที่ “เวลายาว” ในการฝึก. อาจเสริมด้วย tempo interval ที่ไม่หนักเกินไปเพื่อเร่งการปรับตัวทางเมตาบอลิซึมในกล้ามเนื้อ.

3. Lactate Threshold (ขีดจำกัดแลคเตท)

    ◦ ทำไมสำคัญ: เป็นจุดที่ระดับแลคเตทในเลือดเริ่มสะสมอย่างรวดเร็ว ซึ่งบ่งชี้ถึงความเร็วที่คุณสามารถวิ่งได้ “นาน” โดยไม่เกิดความล้า. ยิ่งสามารถเลื่อนขีดจำกัดนี้ไปที่ความเร็วสูงขึ้นได้มากเท่าไร ก็จะวิ่งได้เร็วขึ้นในระยะยาว. การทดสอบจะเห็นจุดที่เส้นโค้งแลคเตทเปลี่ยนจากความชันน้อยไปเป็นความชันมาก.

    ◦ วัตถุประสงค์การพัฒนา: เพื่อให้ร่างกายสามารถวิ่งใกล้เคียงกับ VO₂max ได้โดยไม่เพิ่มระดับแลคเตทสูงเกินไป. เพิ่มความเร็วที่สามารถรักษาระดับแลคเตทให้คงที่ได้นานขึ้น (ประมาณ 20-60 นาที).

    ◦ กลไกสรีรวิทยา: เพิ่มการผลิตพลังงานแบบแอโรบิกทั่วกล้ามเนื้อ ลดสัดส่วนการใช้พลังงานแบบอนาแอโรบิกที่ผลิตแลคเตท. ปรับปรุงการเคลื่อนย้ายแลคเตท (clearance) ผ่านหัวใจ, ตับ และกล้ามเนื้ออื่น ๆ.

    ◦ การฝึก: T-pace/tempo (T zone) เป็นการฝึกที่เหมาะสมที่สุด. อาจเป็นการวิ่งแบบต่อเนื่อง 20–60 นาที หรือ cruise intervals (เช่น 3×12 นาที @ T pace, พัก 2–3 นาที). มีเจตนาเพื่อฝึกการทำงานใกล้ threshold โดยใช้ความเครียดที่กำลังพอดีหรือ “สบายแต่หนัก”.

4. VO₂max (Aerobic Capacity)

    ◦ ทำไมสำคัญ: เป็นเพดานของการใช้พลังงานแบบแอโรบิกของร่างกาย. VO₂max ที่สูงขึ้นหมายถึงศักยภาพที่จะวิ่งได้เร็วขึ้น แต่ต้องประกอบกับ economy และ threshold ที่ดีด้วย.

    ◦ วัตถุประสงค์การพัฒนา: ยกเพดานแอโรบิก เพื่อให้ความเร็วที่ใช้ VO₂max (vVO₂max) สูงขึ้น. ทำให้ความเร็วที่ต้องการในการแข่งขันอยู่ในความสามารถแอโรบิกที่สูงขึ้น.

    ◦ กลไกสรีรวิทยา: ต้องมีการปรับปรุงทั้งการส่งออกซิเจน (ผ่านหัวใจและเลือด) และการประมวลผลของกล้ามเนื้อ (ผ่านไมโตคอนเดรียและหลอดเลือดฝอย).

    ◦ การฝึก: Interval training (I zone) เหมาะที่สุด. เป็นการวิ่ง 3–5 นาที ตามด้วยการจ็อกกิ้งพักที่ระยะเวลาใกล้เคียงกัน. ทำ 3–6 ครั้ง ที่ความเข้มข้นประมาณ 95–100% VO₂max (หรือ HR ≈ 98–100% HRmax). ควรระวังไม่ให้การทำงานยาวเกิน 5 นาที เพราะจะเพิ่มการใช้ระบบอนาแอโรบิกมากเกินไป. นอกจากนี้ การวิ่งเร็วเกินไปในเซสชัน Interval อาจนำไปสู่การสะสมกรดแลคติกมากเกินไป ซึ่งส่งผลเสียต่อเป้าหมายหลักของการพัฒนาระบบแอโรบิก.

5. Speed (ความเร็ว)

    ◦ ทำไมสำคัญ: พัฒนา “ความเร็ว” และทักษะการวิ่ง. ช่วยให้มีการออกตัวหรือเข้าเส้นชัยที่ดีขึ้น (finishing kick) และปรับปรุง running economy ผ่านการฝึกเทคนิคและการเลือกใช้ motor units ที่เหมาะสม.

    ◦ วัตถุประสงค์การพัฒนา: เพิ่มความเร็วสูงสุดสำหรับการเร่ง, ปรับปรุงกลไกการวิ่ง (mechanics/stride) และลดการเคลื่อนไหวที่ไม่จำเป็น เพื่อให้ใช้พลังงานน้อยลงเมื่อวิ่งด้วย pace แข่งขัน.

    ◦ กลไกสรีรวิทยา: ฝึกการ recruitment ของ fast-twitch motor units ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น, ปรับปรุงการประสานงานของระบบประสาทและกล้ามเนื้อ (neuromuscular coordination) และฝึกการวิ่งที่เร็วอย่างมีประสิทธิผล.

    ◦ การฝึก: Reps (R zone) เป็นการทำงานที่สั้น (เช่น 200–800m) ที่ race pace หรือเร็วกว่า โดยมีการพักเต็มที่ (full recovery). เป้าหมายคือคุณภาพและกลไกการวิ่ง ไม่ใช่การทำลายระบบแอโรบิก.

6. Running Economy (ความประหยัดพลังงาน)

    ◦ ทำไมสำคัญ: หากนักวิ่งสามารถวิ่งด้วย pace เดียวกันแต่ใช้ปริมาณออกซิเจน (VO₂) น้อยกว่า หมายถึงมี economy ที่ดีกว่า. สิ่งนี้ช่วยให้สามารถรักษาความเร็วที่สูงขึ้นได้ด้วยพลังงานเท่าเดิม ทำให้ประสิทธิภาพในการแข่งขันดีขึ้น.

    ◦ วัตถุประสงค์การพัฒนา: ลดค่า VO₂ ที่ใช้ในการวิ่งที่ pace แข่งขัน. เพิ่มประสิทธิภาพของท่าวิ่ง (stride) และการควบคุมมอเตอร์ (motor control) ทำให้การวิ่งด้วย race pace นั้น “ประหยัดพลังงาน” มากขึ้น.

    ◦ กลไกสรีรวิทยา: ปรับปรุงรูปแบบการวิ่ง (biomechanics), เลือกใช้ motor units ที่เหมาะสม และเพิ่มความแข็งตึงเล็กน้อยของเอ็น/กล้ามเนื้อเพื่อการคืนพลังงาน (elastic recoil).

    ◦ การฝึก: Repetition training & sprint drills เพื่อฝึกกลไกการวิ่งที่เร็วและเพิ่มความคุ้นเคยกับ pace แข่งขัน. เทคนิคที่ใช้ ได้แก่ strides, drills (A-skips, B-skips), plyometrics เบา ๆ และการฝึกความแข็งแรงเฉพาะกล้ามเนื้อขา. เอกสารเน้นว่าค่า V̇O₂max เพียงอย่างเดียวอาจทำให้เข้าใจผิดได้ เพราะนักวิ่งที่มี V̇O₂max สูงมากอาจทำผลงานได้ไม่ดีหาก Running Economy แย่.

บริบทที่ใหญ่ขึ้นของการฝึกซ้อมสำหรับนักวิ่งระยะไกล

องค์ประกอบสรีรวิทยาทั้ง 6 นี้ไม่ได้แยกจากกัน แต่ทำงานร่วมกันและเป็นส่วนหนึ่งของระบบการฝึกซ้อมที่ครอบคลุม:

Easy Runs เป็นฐานราก: การวิ่งโซน E หรือ Easy runs เป็นหัวใจหลักในการสร้างพื้นฐานที่แข็งแรง. เป็นการพัฒนาระบบหัวใจ-หลอดเลือดและการปรับตัวของกล้ามเนื้อ ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญที่ทำให้การฝึกที่ความเข้มข้นสูงสามารถทำได้.

ระบบ VDOT: เป็นเครื่องมือสำคัญที่เชื่อมโยงข้อมูลทางสรีรวิทยาในห้องปฏิบัติการเข้ากับผลงานการแข่งขันจริงของนักวิ่ง. VDOT เป็นค่าประมาณความสามารถแอโรบิก (aerobic capacity) ที่ได้จากเวลาในการแข่งขัน. การรู้ค่า VDOT ช่วยให้นักวิ่งสามารถกำหนด pace การฝึกที่แม่นยำสำหรับแต่ละโซน เพื่อให้เกิดการปรับตัวทางสรีรวิทยาที่ต้องการในแต่ละองค์ประกอบ โดยไม่ต้องพึ่งการทดสอบในห้องปฏิบัติการที่มีค่าใช้จ่ายสูงและใช้เวลานาน.

โซนการฝึกซ้อม (Training Zones): Daniels ได้แบ่งโซนการฝึกออกเป็น 5 โซนหลัก ได้แก่ E (Easy), M (Marathon-pace), T (Threshold), I (Interval for VO₂max), และ R (Reps/Speed). แต่ละโซนมีวัตถุประสงค์ที่ชัดเจนในการกระตุ้นและพัฒนาองค์ประกอบสรีรวิทยาเฉพาะ. สิ่งสำคัญคือต้องเข้าใจและฝึกในแต่ละโซนตามวัตถุประสงค์ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดและลดความเสี่ยงจากการบาดเจ็บ.

การจัดการภาระการฝึกด้วย Training Points: เอกสารยังเสนอระบบ “training points” ที่เป็นนวัตกรรมใหม่ เพื่อวัดภาระการฝึกโดยรวม. ระบบนี้ให้ค่าคะแนนต่อนาทีตามความเข้มข้นของการวิ่ง ทำให้สามารถติดตามปริมาณความเครียดในการฝึกได้แม่นยำกว่าการนับเพียงระยะทาง. ช่วยให้นักวิ่งทุกระดับความสามารถสามารถจัดการภาระการฝึกได้อย่างเหมาะสม และป้องกันภาวะ overtraining.

การติดตามพัฒนาการ: การติดตามความคืบหน้าขององค์ประกอบเหล่านี้สามารถทำได้ผ่านผลการแข่งขันหรือ time trial (ซึ่งเป็นวิธีที่ง่ายที่สุดและตรงประเด็น), แนวโน้มของอัตราการเต้นของหัวใจ (ขณะพักและขณะออกกำลังกาย submax), RPE (ความรู้สึกเหนื่อย) และความรู้สึกในการฟื้นตัว. หากมีอุปกรณ์ ก็สามารถใช้การทดสอบแลคเตทเพื่อระบุ threshold แบบรายบุคคลได้.

โดยสรุปแล้ว การฝึกซ้อมสำหรับนักวิ่งระยะไกลที่มีประสิทธิภาพต้องอาศัยการทำความเข้าใจอย่างลึกซึ้งถึงองค์ประกอบสรีรวิทยาหลักทั้ง 6 ประการนี้ และการออกแบบโปรแกรมการฝึกที่มุ่งเน้นการพัฒนาแต่ละองค์ประกอบอย่างมีวัตถุประสงค์และเป็นระบบ โดยมี Easy runs เป็นฐาน และใช้ระบบ VDOT เป็นตัวกำหนด pace ที่แม่นยำ.

Aerobic Profile: รู้จักศักยภาพร่างกายเพื่อพัฒนาการฝึกวิ่งระยะไกลอย่างแม่นยำ

การฝึกซ้อมที่มีประสิทธิภาพสำหรับนักวิ่งระยะไกลไม่อาจอาศัยการฝึกซ้ำ ๆ โดยไร้ทิศทาง แต่ต้องเริ่มจากการเข้าใจศักยภาพร่างกายของตนเองอย่างลึกซึ้ง — และหนึ่งในเครื่องมือที่สำคัญคือ “Aerobic Profile” หรือ โปรไฟล์ระบบแอโรบิกของนักวิ่ง ซึ่งช่วยให้สามารถออกแบบโปรแกรมฝึกซ้อมให้ตรงจุดมากที่สุด

ความสำคัญของ Aerobic Profile

Aerobic Profile คือแผนภาพที่แสดงถึงศักยภาพทางสรีรวิทยาของนักวิ่งในมิติต่าง ๆ เช่น ความสามารถในการใช้ออกซิเจน, การสะสมแลคเตท, อัตราการเต้นของหัวใจ และประสิทธิภาพในการใช้พลังงาน ทุกองค์ประกอบเหล่านี้ล้วนเชื่อมโยงกับประสิทธิภาพในการวิ่งจริง

❝ ข้อมูลเพียงค่า VO₂max อย่างเดียวอาจไม่เพียงพอ — นักวิ่งที่มีค่า VO₂max สูงอาจยังแพ้คู่แข่งที่มี Running Economy ดีกว่าได้ ❞

วิธีการสร้าง Aerobic Profile

สามารถทำได้ทั้งในห้องแล็บและในสนามฝึกจริง โดยเฉพาะหากมีอุปกรณ์สำหรับวัด:

  • VO₂ Curve – ความสัมพันธ์ระหว่างการใช้ออกซิเจนกับความเร็วการวิ่ง
  • Heart Rate Curve – แสดงอัตราการเต้นของหัวใจเมื่อความเร็วเพิ่มขึ้น
  • Blood Lactate Curve – แสดงระดับแลคเตทกับความเร็ว โดยจุดที่เปลี่ยนความชันคือ Lactate Threshold
  • vVO₂max – ความเร็วที่ร่างกายใช้ VO₂ สูงสุดครั้งแรก เป็นตัวชี้วัดศักยภาพที่รวม VO₂max และ Running Economy

ระบบ VDOT: สะพานจากแล็บสู่สนามจริง

ระบบ VDOT คือค่า Aerobic Capacity ที่ได้จาก ผลการแข่งขันจริงหรือ Time Trial โดยไม่ต้องพึ่งห้องแล็บ ช่วยให้นักวิ่งสามารถ:

  • กำหนด Training Paces ที่แม่นยำสำหรับทุกโซน
  • ปรับจุดอ่อนในองค์ประกอบทั้ง 6 ด้าน เช่น พัฒนา Threshold หรือ Economy เพิ่มเติม
  • ประเมินความก้าวหน้าได้ชัดเจนเมื่อนำไปเทียบย้อนหลัง

    ตาราง 1 VDOT (ดูคำแนะนำด้านล่าง ตาราง)
VDOT 1500m Mile 3,000m 2-mile 5,000m 10,000m 15K Half-marathon Marathon
30 8:30 9:11 17:56 19:19 30:40 63:46 98:14 2:21:04 4:49:17
31 8:15 8:55 17:27 18:48 29:51 62:03 95:36 2:17:21 4:41:57
32 8:02 8:41 16:59 18:18 29:05 60:26 93:07 2:13:49 4:34:59
33 7:49 8:27 16:33 17:50 28:21 58:54 90:45 2:10:27 4:28:22
34 7:37 8:14 16:09 17:24 27:39 57:26 88:30 2:07:16 4:22:03
35 7:25 8:01 15:45 16:58 27:00 56:03 86:22 2:04:13 4:16:03
36 7:14 7:49 15:23 16:34 26:22 54:44 84:20 2:01:19 4:10:19
37 7:04 7:38 15:01 16:11 25:46 53:29 82:24 1:58:34 4:04:50
38 6:54 7:27 14:41 15:49 25:12 52:17 80:33 1:55:55 3:59:35
39 6:44 7:17 14:21 15:29 24:39 51:09 78:47 1:53:24 3:54:34
40 6:35 7:07 14:03 15:08 24:08 50:03 77:06 1:50:59 3:49:45
41 6:27 6:58 13:45 14:49 23:38 49:01 75:29 1:48:40 3:45:09
42 6:19 6:49 13:28 14:31 23:09 48:01 73:56 1:46:27 3:40:43
43 6:11 6:41 13:11 14:13 22:41 47:04 72:27 1:44:20 3:36:28
44 6:03 6:32 12:55 13:56 22:15 46:09 71:02 1:42:17 3:32:23
45 5:56 6:25 12:40 13:40 21:50 45:16 69:40 1:40:20 3:28:26
46 5:49 6:17 12:26 13:25 21:25 44:25 68:22 1:38:27 3:24:39
47 5:42 6:10 12:12 13:10 21:02 43:36 67:06 1:36:38 3:21:00
48 5:36 6:03 11:58 12:55 20:39 42:50 65:53 1:34:53 3:17:29
49 5:30 5:56 11:45 12:41 20:18 42:04 64:44 1:33:12 3:14:06
50 5:24 5:50 11:33 12:28 19:57 41:21 63:36 1:31:35 3:10:49
51 5:18 5:44 11:21 12:15 19:36 40:39 62:31 1:30:02 3:07:39
52 5:13 5:38 11:09 12:02 19:17 39:59 61:29 1:28:31 3:04:36
53 5:07 5:32 10:58 11:50 18:58 39:20 60:28 1:27:04 3:01:39
54 5:02 5:27 10:47 11:39 18:40 38:42 59:30 1:25:40 2:58:47
55 4:57 5:21 10:37 11:28 18:22 38:06 58:33 1:24:18 2:56:01
56 4:53 5:16 10:27 11:17 18:05 37:31 57:39 1:23:00 2:53:20
57 4:48 5:11 10:17 11:06 17:49 36:57 56:46 1:21:43 2:50:45
58 4:44 5:06 10:08 10:56 17:33 36:24 55:55 1:20:30 2:48:14
59 4:39 5:02 9:58 10:46 17:17 35:52 55:06 1:19:18 2:45:47
60 4:35 4:57 9:50 10:37 17:03 35:22 54:18 1:18:09 2:43:25
61 4:31 4:53 9:41 10:27 16:48 34:52 53:32 1:17:02 2:41:08
62 4:27 4:49 9:33 10:18 16:34 34:23 52:47 1:15:57 2:38:54
63 4:24 4:45 9:25 10:10 16:20 33:55 52:03 1:14:54 2:36:44
64 4:20 4:41 9:17 10:01 16:07 33:28 51:21 1:13:53 2:34:38
65 4:16 4:37 9:09 9:53 15:54 33:02 50:40 1:12:53 2:32:35
66 4:13 4:33 9:02 9:45 15:42 32:35 50:00 1:12:00 2:30:36
67 4:10 4:30 8:55 9:37 15:29 32:11 49:22 1:11:00 2:28:40
68 4:06 4:26 8:48 9:30 15:18 31:46 48:44 1:10:05 2:26:47
69 4:03 4:23 8:41 9:23 15:06 31:23 48:08 1:09:12 2:24:57
70 4:00 4:19 8:34 9:16 14:55 31:00 47:32 1:08:21 2:23:10
71 3:57 4:16 8:28 9:09 14:44 30:38 46:58 1:07:31 2:21:26
72 3:54 4:13 8:22 9:02 14:33 30:16 46:24 1:06:42 2:19:44
73 3:52 4:10 8:16 8:55 14:23 29:55 45:51 1:05:54 2:18:05
74 3:49 4:07 8:10 8:49 14:13 29:34 45:19 1:05:08 2:16:29
75 3:46 4:04 8:04 8:43 14:03 29:14 44:48 1:04:23 2:14:55
76 3:44 4:02 7:58 8:37 13:54 28:55 44:18 1:03:39 2:13:23
77 3:41 3:58 7:53 8:31 13:44 28:36 43:49 1:02:56 2:11:54
78 3:38 3:56 7:48 8:25 13:35 28:17 43:20 1:02:15 2:10:27
79 3:35 3:53 7:43 8:20 13:26 27:59 42:52 1:01:34 2:09:02
80 3:34 3:51 7:37 8:14 13:17 27:41 42:25 1:00:54 2:07:38
81 3:31 3:48 7:32 8:08 13:09 27:24 41:58 1:00:15 2:06:17
82 3:29 3:46 7:27 8:03 13:01 27:07 41:32 0:59:38 2:04:57
83 3:27 3:44 7:23 7:58 12:53 26:51 41:06 0:59:01 2:03:40
84 3:25 3:41 7:18 7:53 12:45 26:34 40:42 0:58:25 2:02:24
85 3:23 3:39 7:14 7:48 12:37 26:19 40:17 0:57:50 2:01:10

ตาราง VDOT คืออะไร และใช้อย่างไร?

ตาราง VDOT คือเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้นักวิ่งสามารถ คำนวณสมรรถภาพแอโรบิก (Aerobic Capacity) จากผลงานในการแข่งขันระยะใดก็ได้ และนำไปใช้เพื่อ:

  • พยากรณ์เวลาในการแข่งขันระยะอื่น ได้อย่างแม่นยำ (เช่น จากเวลา 10K ทำนายเวลามาราธอนได้)
  • กำหนด pace ที่เหมาะสมสำหรับการฝึกในโซนต่างๆ เช่น Threshold, Interval หรือ Marathon Pace

ตารางที่แสดงนี้คือ เวอร์ชันย่อของตาราง VDOT ที่สมบูรณ์ ซึ่งปรากฏอยู่ในหนังสือ Oxygen Power โดยในฉบับเต็มจะมีค่าที่ละเอียดมากขึ้น ครอบคลุมมากกว่า 40 ระยะ และมีการแบ่งย่อย VDOT เป็นทศนิยม


วิธีใช้ตาราง VDOT

  • เพียงดู เวลาในการแข่งขันล่าสุด ของคุณในระยะทางใดก็ได้ (เช่น 5K, 10K, Half-marathon)
  • อ่านแถวแนวนอน เพื่อหาค่า VDOT ที่ตรงกับเวลา ของคุณ
  • หากมีเวลาจากหลายระยะ ให้เลือกระยะที่ให้ค่า VDOT สูงที่สุด ซึ่งจะแสดงถึงระดับความฟิตปัจจุบันของคุณได้แม่นยำที่สุด

หมายเหตุสำคัญ:

เพื่อให้ได้ค่าที่ถูกต้องที่สุด ควรใช้เวลาจากการแข่งขันที่:

  • เป็น สนามเรียบ
  • มีสภาพอากาศดี ไม่มีลมแรงหรือความร้อนจัด
  • เป็นระยะที่ใช้เวลา ระหว่าง 3.5 นาที ถึง 3.5 ชั่วโมง เช่น 1,500 เมตร ถึงมาราธอน

ตัวอย่าง: เมื่อนักวิ่งมี VDOT ต่างกันในแต่ละระยะ

เป็นเรื่องปกติที่นักวิ่งบางคนอาจได้ค่า VDOT ที่ต่างกันในแต่ละระยะ เช่น:

  • วิ่ง 1,500 เมตร ได้เวลา 4:31 → VDOT = 61
  • วิ่ง 3,000 เมตร ได้เวลา 9:33 → VDOT = 62
  • วิ่ง 5,000 เมตร ได้เวลา 15:54 → VDOT = 65

ในกรณีนี้ ควรเลือก VDOT ที่สูงที่สุด (65) เพื่อใช้ในการกำหนดความเข้มข้นของการฝึก เพราะแสดงถึงศักยภาพที่ดีที่สุดในช่วงเวลานั้น

ตาราง 2 ความเข้มข้นในการฝึกซ้อม จากค่า VDOT

VDOT E pace
Mile
E pace
Km
M pace
Mile
M pace
Km
T pace
400m
T pace
1,000m
T pace
Mile
I pace
400m
I pace
1000m
I pace
1,200m
I pace
Mile
R pace
200m
R pace
400m
R pace
800m
3012:407:5211:016:512:336:2410:182:226:077:2011:52672:164:40
3112:227:4110:456:412:306:1410:022:186:007:1211:38652:124:34
3212:047:3010:296:312:266:059:472:145:537:0411:24632:084:28
3311:487:2010:146:212:235:569:332:115:476:5711:11622:054:22
3411:327:1010:006:132:195:489:202:085:406:5010:58602:024:16
3511:177:019:466:042:165:409:072:055:346:4310:45591:594:10
3611:026:529:335:562:135:338:552:025:076:3610:33571:554:04
3710:496:439:205:482:105:258:441:595:006:2910:21561:533:58
3810:356:359:085:412:075:198:331:564:546:2210:09541:503:53
3910:236:278:575:332:055:128:221:544:486:169:57531:483:48
4010:116:198:465:272:025:068:121:524:426:109:46521:463:43
419:596:128:365:202:005:008:021:504:376:049:36511:443:39
429:476:048:255:131:584:547:521:484:325:599:26501:433:35
439:365:578:155:061:564:497:431:464:275:549:16491:413:31
449:255:508:065:001:544:437:341:444:225:499:07481:393:27
459:145:437:564:541:524:387:251:424:175:448:58471:373:23
469:035:377:474:481:514:337:161:404:135:398:49461:363:19
478:535:307:384:421:494:287:081:394:085:348:40451:343:16
488:435:247:294:361:474:236:591:374:045:298:32441:323:12
498:335:187:204:311:454:186:511:354:005:248:24431:313:09
508:235:127:124:251:444:136:441:343:565:198:16421:293:06
518:145:067:044:201:424:096:361:323:525:148:08411:283:03
528:055:016:564:151:414:046:291:313:485:098:01411:273:00
537:564:566:484:101:394:006:221:293:445:057:53401:252:57
547:474:506:414:051:383:566:151:283:415:017:46391:242:54
557:394:456:344:001:373:526:081:273:374:577:39391:232:51
567:314:406:273:561:363:486:011:253:344:537:32381:222:49
577:234:356:203:511:343:445:551:243:314:497:25371:212:46
587:154:306:143:471:333:405:491:233:284:457:18371:202:43
597:084:256:083:431:323:375:431:223:254:417:11361:192:41
607:014:216:023:391:313:335:371:213:224:377:05361:182:39
616:544:165:563:351:303:305:321:203:194:346:59351:172:37
626:474:125:513:311:283:275:261:193:174:316:53351:162:35
636:414:085:463:271:273:245:211:183:144:276:47341:152:33
646:354:045:413:231:263:215:161:173:114:246:41341:142:31
656:294:005:363:191:253:185:111:163:094:216:35331:132:29
666:233:575:313:151:243:155:061:153:074:186:30331:122:28
676:183:535:273:121:233:135:011:143:054:156:25331:112:26
686:133:505:223:081:223:104:571:133:034:126:20321:102:24
696:083:475:183:051:213:084:531:123:014:096:15321:092:22
706:033:445:133:021:203:054:481:112:594:066:10311:082:21
715:583:415:092:591:193:034:441:102:574:036:05311:072:19
725:533:385:052:561:183:014:401:092:554:016:01311:062:18
735:493:355:012:531:172:594:361:082:533:585:56301:052:16
745:453:324:572:501:162:574:321:072:513:565:52301:042:15
755:413:294:532:471:152:554:281:062:493:545:48301:032:13
765:373:264:492:441:142:534:251:052:473:525:44291:022:12
775:333:234:462:411:132:514:211:042:453:505:40291:012:11
785:293:214:422:391:122:494:181:032:433:485:36291:002:09
795:263:184:392:361:112:474:151:022:413:465:33280:592:08
805:223:164:362:341:102:454:121:012:393:445:29280:582:07
815:193:134:332:321:092:434:091:002:373:425:26280:572:06
825:163:114:302:291:082:414:060:592:363:405:23270:572:05
835:133:094:272:271:072:394:030:592:343:395:20270:562:04
845:103:074:242:251:062:374:010:582:323:375:17270:552:03
855:073:054:212:231:052:353:580:572:313:355:14260:542:02

การใช้ค่า VDOT เพื่อกำหนดความเข้มข้นในการฝึกซ้อม

เมื่อคุณได้ทราบค่า VDOT ของตนเองแล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการนำค่านี้ไปใช้กำหนด ระดับความเข้มข้นในการฝึกซ้อม ซึ่งสามารถอ้างอิงได้จากตารางการฝึก (Training Intensities) ที่สัมพันธ์กับค่า VDOT ที่คุณมี

วิธีใช้งาน:

ให้นำค่า VDOT ที่คุณหาได้จากผลการแข่งขัน (เช่นใน ตาราง 3.1) แล้วมาดูรายละเอียดของความเร็วเป้าหมายสำหรับแต่ละโซนฝึกซ้อมใน ตาราง 3.2 ซึ่งประกอบด้วย 5 โซนหลัก ได้แก่

  • E pace: Easy & Long run
  • M pace: Marathon pace
  • T pace: Threshold/Tempo pace
  • I pace: Interval pace
  • R pace: Repetition pace

ตัวอย่างเช่น หากคุณมีค่า VDOT เท่ากับ 50 (ซึ่งมาจากเวลาวิ่ง 5,000 เมตร ในเวลา 19:57 นาที) ค่าความเร็วที่ควรฝึกในแต่ละโซนคือ:

  • Easy (E) และ Long run: 5:18 นาที/กิโลเมตร (หรือ 8:32 นาที/ไมล์)
  • Marathon pace (M): 7:17 นาที/ไมล์
  • Threshold (T):
    • 1:42 นาทีต่อ 400 เมตร
    • 4:15 นาทีต่อ 1,000 เมตร
    • 6:51 นาทีต่อไมล์
  • Interval (I):
    • 93 วินาทีต่อ 400 เมตร
    • 3:55 นาทีต่อ 1,000 เมตร
    • 4:41 นาทีต่อ 1,200 เมตร
  • Repetition (R):
    • 43 วินาทีต่อ 200 เมตร
    • 87 วินาทีต่อ 400 เมตร

ข้อควรทราบ:

ในกรณีของ I-pace จะไม่มีการกำหนด pace ต่อไมล์ เพราะการฝึกในช่วง Interval ไม่ควรเกิน 5 นาทีต่อเซสชัน — pace ต่อไมล์จึงจะหนักเกินไป หากคุณมี VDOT = 50 การฝึก Interval ด้วยระยะ 1,200 เมตร (ใน pace 4:41) หรือ 1,000 เมตร (pace 3:55) จะเหมาะสมกว่า

หากคุณเป็นนักวิ่งระยะสั้น เช่น 800 เมตร แนะนำให้ดูรายละเอียดเพิ่มเติมจากบทที่ 16 ซึ่งอธิบายความเข้มข้นของการฝึกเฉพาะทางสำหรับผู้เชี่ยวชาญในระยะ 400–1,500 เมตร


การประยุกต์ใช้กับการฝึก

เมื่อได้ค่า VDOT แล้ว คุณสามารถ:

  • กำหนด Training Paces ได้แม่นยำในแต่ละโซน เช่น E, M, T, I, R
  • ใช้เพื่อ พยากรณ์เวลาในการแข่งระยะใหม่ ได้อย่างสมเหตุสมผล
  • ประเมินพัฒนาการและระดับฟิตเนสของตัวเองเมื่อเทียบกับการแข่งขันก่อนหน้า

📌 Tip สำหรับโค้ชและนักวิ่ง

หากคุณฝึกในสนามที่มีความยาก เช่น ครอสคันทรี หรือภูเขา ค่า VDOT ที่ได้จากสนามนั้นอาจต่ำกว่าความเป็นจริง แต่อาจใช้เพื่อตั้ง pace การฝึกสำหรับสภาพแวดล้อมคล้ายกันได้


✨ ตาราง VDOT ไม่ใช่แค่ตัวเลขธรรมดา แต่คือเครื่องมือที่เปลี่ยนข้อมูลจากสนามแข่งให้กลายเป็นพิมพ์เขียวสำหรับการฝึกซ้อมอย่างมีระบบ

การประยุกต์ใช้งานในชีวิตจริง

  • กำหนดโซนการฝึก: E / M / T / I / R โดยอ้างอิงจากค่า VDOT
  • วางแผนฝึกแบบมีข้อมูล: รู้ว่า pace ไหนกำลังฝึกด้านใด
  • ใช้ Training Points: วัดความเครียดสะสมในแต่ละ session จากทั้งเวลาและความเข้มข้น เพื่อเลี่ยง overtraining

ตาราง 3 Training Point ( คะแนน Training Point ต่อเวลา ตาม Training Zone)

table, th, td { border: 1px solid black; border-collapse: collapse; } th, td { padding: 4px; text-align: center; }
% VDOT % HRmax E zone (easy running)
1 min 5 min 10 min 20 min 30 min 60 min
5965.100.5001.002.003.006.00
6066.110.5501.102.203.306.60
6167.122.6101.222.443.667.30
6268.135.6751.352.704.058.10
6369.150.7501.503.004.509.00
6470.167.8351.673.345.0010.00
6571.183.9151.833.665.5011.00
6672.2001.0002.004.006.0012.00
6773.2171.0852.174.346.5013.00
6874.2331.1652.334.667.0014.00
6975.2501.2502.505.007.5015.00
7075.5.2671.3352.675.348.0016.00
7176.2831.4152.835.668.5017.00
7277.3001.5003.006.009.0018.00
7378.3171.5853.176.349.5019.00
7479.3331.6653.336.6610.0020.00
% VDOT % HRmax M zone (marathon pace)
1 min 5 min 10 min 20 min 30 min 60 min
7580.3501.7503.507.0010.5021.00
7681.3671.8353.707.4011.1022.00
7782.3921.9603.907.8011.7023.50
7883.4172.0904.208.4012.6025.00
7984.4422.2104.408.8013.2026.50
8085.4672.3404.709.4014.1028.00
8186.4922.4604.909.8014.7029.50
8287.5172.5905.2010.4015.6031.00
8388.5502.7505.5011.0016.5033.00
8489.5832.9205.8011.6017.4035.00
% VDOT % HRmax T zone (threshold/tempo)
1 min 5 min 10 min 20 min 30 min 60 min
8388.5502.7505.5011.0016.5033.00
8489.5832.9205.8011.6017.4035.00
8589.5.6003.0006.0012.0018.0036.00
8690.6173.0906.2012.4018.6037.00
8791.6503.2506.5013.0019.5039.00
8892.6833.4206.8013.6020.4041.00
% VDOT % HRmax 10K zone (race-specific)
1 min 5 min 10 min 20 min 30 min 60 min
9093.7203.607.2014.4021.6043.00
9193.5.7333.667.3314.7022.0044.00
9294.7503.757.5015.0022.5045.00
9395.7673.837.6715.3023.0046.00
9496.7833.927.8315.6023.5047.00
% VDOT % HRmax I zone (interval)
1 min 2 min 5 min 10 min 20 min 30 min
9597.5.9001.804.509.0018.0027.00
9698.9171.834.609.2018.4027.50
9798.5.9401.884.709.4018.8028.20
9899.9601.924.809.6019.2028.80
9999.5.9831.974.909.8019.6029.50
1001001.0002.005.0010.0020.0030.00
% VDOT % HRmax R zone (repetition)
1 min 2 min 5 min 10 min 20 min 30 min
1051001.252.503.756.2512.5025.00
1101001.503.004.507.5015.0030.00
1151001.753.605.258.7517.5035.00
1201002.104.206.3010.5021.0042.00

ค่าเวลาในโซน M (Marathon Pace) เป็นค่าประมาณเวลาในการวิ่งมาราธอน ที่สัมพันธ์กับเปอร์เซ็นต์ของค่า VDOT

•• ค่าเวลาในโซน 10K เป็นค่าประมาณเวลาในการวิ่งระยะ 10 กิโลเมตร ที่สัมพันธ์กับเปอร์เซ็นต์ของค่า VDOT

••• ค่าเวลาในโซน I (Interval) และ R (Repetition) เป็นค่าที่อิงจากเวลาในการแข่งขัน ที่สัมพันธ์กับเปอร์เซ็นต์ของค่า VDOT โดยไม่ขึ้นอยู่กับระยะทางที่วิ่ง

วิธีใช้งานตาราง Training Point: เปลี่ยนความเข้มข้นของการฝึกให้เป็น “คะแนน”

เพื่อช่วยให้นักวิ่งทุกระดับสามารถประเมินปริมาณการฝึกซ้อมได้อย่างแม่นยำ เราได้ออกแบบตาราง “Training Point” ซึ่งแปลง ความเข้มข้นของการวิ่งแต่ละโซน ให้กลายเป็น คะแนนต่อระยะเวลา (Points per minute) โดยใช้พื้นฐานจากค่า VDOT ปัจจุบันของนักวิ่ง (หรือใช้ค่าชีพจร Heart Rate ก็ได้เช่นกัน)

หลักการง่าย ๆ คือ:

ยิ่งวิ่งด้วยความเข้มข้นที่สูงขึ้น คะแนนที่ได้ต่อนาทีก็จะยิ่งมากขึ้น เช่น:

  • วิ่ง Easy จะได้ประมาณ 2–3 คะแนนต่อ 10 นาที
  • วิ่ง Marathon pace ได้ 25 คะแนนต่อชั่วโมง
  • Threshold pace (T pace) ให้ประมาณ 6 คะแนนต่อ 10 นาที
  • Interval pace (I pace) ให้ 1 คะแนนต่อนาที
  • Repetition pace (R pace) ให้ 1.5–2.1 คะแนนต่อนาที (ขึ้นกับว่าเป็นระยะ 800 เมตรหรือเร็วกว่า)

การบันทึกคะแนนจากแต่ละเซสชันจะช่วยให้นักวิ่งเห็นภาพรวมของภาระการฝึกได้ชัดเจน และสามารถบริหารจัดการแผนฝึกไม่ให้หนักเกินไป หรือเน้นโซนใดโซนหนึ่งมากเกินความจำเป็น

ทำไมจึงต้องใช้ Training Point?

ตารางนี้ออกแบบให้รองรับ การซ้อนทับกันของโซนฝึก เช่น:

  • โซน Marathon pace (M) และ Threshold pace (T) มีการซ้อนกันราว 2% เพื่อรองรับความจริงที่ว่า นักวิ่งที่เก่งมากสามารถวิ่ง Marathon pace ได้ที่ระดับความเข้มข้นเทียบเท่า Threshold ของนักวิ่งทั่วไป

การใช้ตารางนี้จะช่วย ลดปัญหา “การฝึกที่ไม่มีจุดประสงค์” หรือที่เรียกว่า “misplaced quality training” ซึ่งหมายถึงการฝึกที่ไม่ได้อยู่ในโซนที่สอดคล้องกับเป้าหมายการฝึกในวันนั้น

ก่อนจะออกวิ่ง ถามตัวเองว่า:

  • วันนี้ฝึกเพื่ออะไร?
  • ฉันต้องการพัฒนาระบบใดในร่างกาย?

หากตอบได้ชัดเจน การเลือกโซนฝึกและประเมินคะแนนที่ได้จะมีความหมายทันที

ทางเลือกในการคำนวณคะแนน

หากไม่ต้องการลงรายละเอียดตามตารางอย่างละเอียดเสมอไป ก็สามารถใช้ค่า “ตัวแทน” ที่คำนวณง่าย เช่น:

  • วอร์มอัพ/คูลดาวน์: 1 คะแนนต่อ 5 นาที
  • Easy runs: 12–18 คะแนนต่อชั่วโมง
  • T pace: 6 คะแนนต่อ 10 นาที
  • I pace: 1 คะแนนต่อนาที
  • R pace: 1.5 คะแนนต่อนาที (หรือ 2.1 หากฝึกในระดับ 800 เมตร)

สำหรับผู้ที่ใช้ Heart Rate monitor สามารถใช้ตารางเดียวกันนี้โดยอิงจากเปอร์เซ็นต์ HRmax ได้เช่นกัน โดยเฉพาะถ้าฝึกในกีฬาอื่น เช่น ปั่นจักรยาน ว่ายน้ำ หรือสกี

Practical Monitoring: ติดตามความก้าวหน้าแบบไม่ต้องพึ่งแล็บ

  • Time Trial / Race Result → คำนวณ VDOT
  • Resting HR & HR Submax → ประเมินระบบหัวใจ
  • RPE และ Recovery Feel → ประเมินความรู้สึกและความฟื้นตัวของร่างกาย
  • Lactate Testing → หากมีอุปกรณ์ จะวัด LT ได้อย่างแม่นยำ

สรุป

Aerobic Profile และระบบ VDOT เป็นเครื่องมือสำคัญที่เชื่อมโยงวิทยาศาสตร์การกีฬาเข้ากับสนามฝึกจริง ช่วยให้นักวิ่งวางแผนฝึกซ้อมอย่างแม่นยำและมีจุดหมาย พร้อมพัฒนาองค์ประกอบทางสรีรวิทยาได้ครบถ้วน ทั้งระบบหัวใจ กล้ามเนื้อ Threshold, VO₂max, Speed และ Running Economy — เพื่อความก้าวหน้าและความยั่งยืนในทุกก้าวของนักวิ่งระยะไกล

โซนการฝึกซ้อมสำหรับนักวิ่งระยะไกล: เข้าใจลึกเพื่อออกแบบแผนฝึกอย่างแม่นยำ

ในการฝึกซ้อมสำหรับนักวิ่งระยะไกล การเข้าใจ “โซนการฝึกซ้อม” (Training Zones) อย่างลึกซึ้งเป็นหัวใจของการออกแบบโปรแกรมฝึกที่มีประสิทธิภาพ โดยอ้างอิงหลักจาก Daniels’ Running Formula ซึ่งแบ่งออกเป็น 5 โซนหลัก แต่ละโซนมีเป้าหมายที่ชัดเจนในการพัฒนาองค์ประกอบทางสรีรวิทยาที่สำคัญ


ภาพรวม 5 โซนการฝึกหลัก:

Infographic summarizing the importance of Easy Runs in building endurance for long-distance runners.
  1. โซน E (Easy / Long Runs)
    • วัตถุประสงค์: พัฒนาระบบหัวใจ-หลอดเลือดและระบบกล้ามเนื้อ เพิ่ม stroke volume, ปริมาตรเลือด และเสริมความแข็งแรงกล้ามเนื้อ
    • ความเข้มข้น: 59–74% VO₂max หรือ 65–79% HRmax
    • ลักษณะการฝึก: วิ่งสบายต่อเนื่อง เช่น long run 90 นาที หรือ recovery run 30–60 นาที
    • สัดส่วน: ควรเป็น 60–75% ของระยะเวลาการฝึกทั้งหมดในสัปดาห์
  2. โซน M (Marathon Pace)
    • วัตถุประสงค์: จำลอง pace การแข่งขันมาราธอน เพิ่มความทนทานระยะยาว
    • ความเข้มข้น: 75–84% VO₂max หรือ 80–90% HRmax
    • ลักษณะการฝึก: steady run หรือ long repeats ไม่เกิน 90 นาทีหรือ 16 ไมล์
  3. โซน T (Threshold / Tempo)
    • วัตถุประสงค์: พัฒนา Lactate Threshold เพื่อรักษา pace สูงได้นานขึ้น
    • ความเข้มข้น: 83–88% VO₂max หรือ 88–92% HRmax
    • ลักษณะการฝึก: tempo run 20–40 นาที หรือ cruise intervals เช่น 3×12 นาที พัก 2–3 นาที
  4. โซน I (Intervals)
    • วัตถุประสงค์: กระตุ้น VO₂max และยกระดับศักยภาพความเร็ว
    • ความเข้มข้น: 95–100% VO₂max หรือ 98–100% HRmax
    • ลักษณะการฝึก: 3–5 นาทีต่อเซต 3–6 ครั้ง พัก jog เท่ากันหรือน้อยกว่า
  5. โซน R (Reps / Speed)
    • วัตถุประสงค์: พัฒนา speed, stride mechanics และ Running Economy
    • ความเข้มข้น: race pace หรือเร็วกว่า โดยพักเต็มที่
    • ลักษณะการฝึก: 6×200 เมตร sprint หรือ 8×400 เมตร @ 5K pace พักเต็มที่

การนำ Training Zones ไปใช้จริง:

  • ฐานฝึกต้องเริ่มที่ E-zone: ยิ่งฝึกนานในโซนนี้เท่าไร ระบบหัวใจและกล้ามเนื้อยิ่งแข็งแรง
  • ใส่ Quality Sessions อย่างมีกลยุทธ์: 1–2 ครั้ง/สัปดาห์ใน T หรือ I และเสริม R เพื่อ speed
  • อิงจากระบบ VDOT: ช่วยกำหนด pace ที่เหมาะสมโดยไม่ต้องพึ่งแล็บ
  • วัดภาระฝึกด้วย Training Points: คะแนนการฝึกต่อนาทีแต่ละโซนช่วยบริหารความเครียดสะสม

สรุป:

การฝึกซ้อมอย่างมีประสิทธิภาพสำหรับนักวิ่งระยะไกลไม่ใช่แค่การวิ่งเยอะ แต่ต้องวางโครงสร้างตามโซนอย่างถูกต้อง ใช้ Easy Runs เป็นรากฐาน และเสริมด้วยการฝึกคุณภาพเพื่อพัฒนาองค์ประกอบสรีรวิทยาแต่ละด้าน การใช้ระบบ VDOTและ Training Points จะช่วยให้สามารถวางแผนฝึกได้แม่นยำ เห็นผลลัพธ์ และลดความเสี่ยงจาก overtraining อย่างชัดเจน

การฝึกซ้อมที่ความสูง (Altitude Training): กลยุทธ์เสริมเพื่อพัฒนาศักยภาพของนักวิ่งระยะไกล

หนึ่งในกลยุทธ์ที่ได้รับความนิยมในหมู่นักวิ่งระดับสูงคือ การฝึกซ้อมที่ความสูง (Altitude Training) ซึ่งอาศัยสภาพแวดล้อมที่มีออกซิเจนน้อยกว่าเพื่อกระตุ้นการปรับตัวทางสรีรวิทยาในร่างกาย นักวิ่งจำนวนมากเชื่อว่าการฝึกที่ระดับความสูงปานกลาง เช่น 2,000–2,500 เมตร สามารถเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันเมื่อลงมาวิ่งที่ระดับน้ำทะเลได้

ทำไมความสูงถึงมีผลต่อการฝึก?

ที่ระดับความสูง ความดันบรรยากาศจะลดลง ส่งผลให้ ความดันย่อยของออกซิเจน (Partial Pressure of O₂) ลดลงตามไปด้วย นี่คือเหตุผลที่ทำให้ สมรรถภาพแอโรบิก (VO₂max) ของนักวิ่งลดลงขณะอยู่ที่ความสูง ร่างกายจะไม่สามารถส่งออกซิเจนไปยังกล้ามเนื้อได้เต็มที่ ทำให้ความเร็วในการวิ่งลดลงโดยเฉพาะในการแข่งขันตั้งแต่ 1,500 เมตรขึ้นไป

อย่างไรก็ตาม ข้อดีคือสภาพแวดล้อมที่มีออกซิเจนต่ำนี้จะ กระตุ้นร่างกายให้ปรับตัว เช่น การเพิ่มจำนวนเซลล์เม็ดเลือดแดง และความสามารถในการจับออกซิเจนของฮีโมโกลบิน ซึ่งถือเป็นผลระยะยาวที่เป็นประโยชน์เมื่อนักวิ่งกลับมาวิ่งที่ระดับน้ำทะเล

ปรับตัวอย่างไรให้ได้ผลจริง

การฝึกที่ความสูงไม่ใช่ “ทางลัด” แต่คือ เครื่องมือเสริม ที่ต้องมีการวางแผนอย่างรอบคอบ

  • Live High, Train Low: แนวทางที่ดีที่สุดคือการอยู่อาศัยบนที่สูงเพื่อรับผลทางสรีรวิทยา และลงมาฝึกซ้อมที่ระดับต่ำเพื่อรักษาความเร็วและความเข้มข้นของการฝึก
  • 🧭 เลือกช่วงเวลาฝึกอย่างชาญฉลาด: ช่วงวันแรกที่ไปถึงอาจเป็นเวลาที่ดีที่สุดสำหรับการแข่งขัน ส่วนช่วงวันที่ 3–5 เป็นจุดที่ร่างกายเริ่มเหนื่อยล้า ควรหลีกเลี่ยงการฝึกหนัก
  • 📈 ความแตกต่างระหว่างบุคคล: นักวิ่งแต่ละคนตอบสนองต่อความสูงต่างกัน บางคนได้ผลดี บางคนอาจรู้สึกอ่อนล้าและไม่เห็นผลลัพธ์ชัดเจน
  • คงไว้ซึ่งผลลัพธ์: การปรับตัวจากการฝึกที่ความสูงจะคงอยู่เพียงระยะสั้น หากไม่มีการฝึกต่อเนื่องอย่างเหมาะสมเมื่อกลับสู่ระดับน้ำทะเล

สรุป

Altitude Training คือหนึ่งในกลยุทธ์เสริมที่สามารถนำมาใช้ควบคู่กับโปรแกรมฝึกซ้อมหลัก เพื่อผลักดันการพัฒนาของระบบหัวใจ-หลอดเลือด, กล้ามเนื้อ, VO₂max และ Running Economy ให้ก้าวไปอีกระดับ นักวิ่งที่ต้องการเพิ่มประสิทธิภาพและพร้อมสำหรับการแข่งขันระดับสูงควรศึกษาวิธีนี้อย่างรอบด้าน พร้อมวางแผนการฝึกให้เหมาะสมกับร่างกายและเป้าหมายของตนเอง

การฝึกเสริม (Supplemental Training): รากฐานลับของนักวิ่งที่แกร่งและยั่งยืน

ในโลกของการฝึกซ้อมสำหรับนักวิ่งระยะไกล เรามักให้ความสำคัญกับการเพิ่ม VO₂max หรือผลัก Lactate Threshold ให้สูงขึ้น แต่น้อยคนนักจะพูดถึง “พื้นฐานเงียบๆ” อย่าง การฝึกเสริม (Supplemental Training) ที่ช่วยให้ร่างกายพร้อมรับมือกับปริมาณการฝึกที่มากขึ้น และลดความเสี่ยงของการบาดเจ็บซ้ำแล้วซ้ำเล่า

แม้การฝึกเสริมจะไม่ใช่ตัวขับเคลื่อนหลักของความเร็วหรือความทนทาน แต่กลับเป็น ตัวเสริมพลังเงียบๆ ที่คอยสนับสนุนให้ร่างกายทำงานได้อย่างเต็มศักยภาพ และต่อเนื่อง

องค์ประกอบหลักของการฝึกเสริม

1. การฝึกความแข็งแรง (Strength Training)

การฝึกกล้ามเนื้อไม่ใช่เรื่องของนักเพาะกายเท่านั้น แต่นักวิ่งเองก็จำเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะการสร้างความแข็งแรงให้กล้ามเนื้อสะโพก (hip), กล้ามเนื้อก้น (glute) และแกนกลางลำตัว (core)

  • เป้าหมาย: ป้องกันการบาดเจ็บ, เพิ่ม Running Economy และรับมือกับภาระการฝึกที่หนักหน่วงได้ดีขึ้น
  • 📌 คำแนะนำ: 1–2 ครั้งต่อสัปดาห์ โดยอาจเสริมด้วย plyometrics เบาๆ เพื่อฝึกการคืนแรง (elastic recoil)

2. การฝึกความคล่องตัวและความยืดหยุ่น (Mobility & Flexibility)

การเคลื่อนไหวที่ไหลลื่นไม่เพียงแค่ดูดี แต่ยังช่วยให้คุณวิ่งได้มีประสิทธิภาพขึ้น ลดการสูญเสียพลังงานจากกล้ามเนื้อที่ตึงหรือข้อต่อที่ไม่ยืดหยุ่น

  • เป้าหมาย: ปรับปรุง mechanics/stride และลดการเคลื่อนไหวที่ไม่จำเป็นซึ่งทำให้เปลืองพลัง
  • 📌 คำแนะนำ: ทำก่อน-หลังวิ่ง หรือใน วันพักฟื้น (recovery day)

3. โภชนาการและการดื่มน้ำ (Nutrition & Hydration)

ร่างกายที่ดีต้องมี “วัตถุดิบดี” เสมอ! การรับพลังงานและน้ำอย่างเพียงพอส่งผลโดยตรงต่อปริมาตรเลือด, ระดับไกลโคเจนในกล้ามเนื้อ และประสิทธิภาพการใช้ออกซิเจน

  • เป้าหมาย: รักษา blood volume, glycogen stores และสนับสนุนระบบขนส่งออกซิเจนในร่างกาย
  • 📌 คำแนะนำ: วางแผนการกิน–ดื่มให้เหมาะสมทั้งช่วงก่อน ระหว่าง และหลังการฝึกซ้อม

เมื่อรวมเข้ากับแผนฝึกที่ครอบคลุม

การฝึกเสริมคือฟันเฟืองสำคัญที่ช่วยให้ระบบฝึกตามโซน (E, M, T, I, R) ของคุณ ทำงานได้อย่างราบรื่นและต่อเนื่อง โดยเฉพาะเมื่อคุณเริ่มเข้าสู่โปรแกรมฝึกที่เข้มข้นขึ้น การบาดเจ็บหรือความล้าสะสมอาจเป็นอุปสรรคใหญ่ และนี่คือบทบาทของ Supplemental Training ที่ไม่ควรมองข้าม

Easy Runs อาจสร้างฐานหัวใจ–หลอดเลือดให้คุณได้ แต่ การฝึกเสริมจะเป็นพื้นฐานทางกล้ามเนื้อและโภชนาการ ที่ทำให้คุณวิ่งได้ต่อเนื่อง ไม่มีสะดุด

Practical Monitoring: ติดตามพัฒนาการนักวิ่งระยะไกลอย่างแม่นยำและยั่งยืน

ในเส้นทางการฝึกซ้อมของนักวิ่งระยะไกล ไม่ใช่เพียงการฝึกให้หนักขึ้นเท่านั้นที่นำไปสู่ผลลัพธ์ที่ดีขึ้น — แต่การรู้จัก “ติดตามพัฒนาการ” อย่างเป็นระบบต่างหาก ที่ช่วยให้เราฝึกได้อย่างชาญฉลาด ปรับแผนได้แม่นยำ และหลีกเลี่ยงภาวะฝึกเกิน (overtraining) ซึ่งอาจทำลายสมรรถภาพในระยะยาว

ทำไมการติดตามพัฒนาการจึงสำคัญ?

Practical Monitoring ช่วยให้นักวิ่งเข้าใจว่า:

  • สมรรถภาพแอโรบิกของตน (Aerobic Profile) พัฒนาไปถึงจุดไหน
  • ควรปรับเพิ่ม/ลด Training Load ตอนไหน
  • จุดอ่อนใดที่ต้องเน้นปรับปรุง (เช่น VO₂max สูงแต่ Running Economy ยังต่ำ)
  • ทุก Session มีคุณภาพหรือไม่

เครื่องมือและวิธีการติดตามผลที่นำไปใช้ได้จริง

1. 📊 ผลการแข่งขัน หรือ Time Trial

  • ใช้ เวลาวิ่ง 5K/10K ล่าสุดในการคำนวณ ค่า VDOT
  • ค่านี้เป็นตัวแทนศักยภาพแอโรบิกจากสนามจริง และช่วยให้สามารถกำหนด pace สำหรับแต่ละโซนฝึกได้แม่นยำ (E, M, T, I, R)
  • การเปลี่ยนแปลงของค่า VDOT จึงสะท้อนความก้าวหน้าที่ชัดเจน

2. ❤️ แนวโน้มอัตราการเต้นของหัวใจ (HR Trends)

  • Resting HR ที่ลดลง = ระบบหัวใจแข็งแรงขึ้น
  • HR ที่ pace เดิมต่ำลง = ประสิทธิภาพแอโรบิกดีขึ้น
  • เป็นสัญญาณที่ติดตามได้ง่ายและต่อเนื่องจากนาฬิกา GPS หรือแอปสุขภาพ

3. 🧠 RPE & Recovery Feel

  • RPE = ความรู้สึกเหนื่อยที่รับรู้ได้ หาก pace เดิมรู้สึก “เบาลง” แปลว่าได้ผล
  • Recovery Feel = ฟื้นตัวเร็วขึ้นหลังวิ่งหนัก สะท้อนการตอบสนองของระบบกล้ามเนื้อและพลังงานที่ดีขึ้น
  • เป็นเครื่องมือภายในที่แม่นยำ และควรจดบันทึกไว้หลังการฝึกทุกครั้ง

4. 🧪 Lactate Testing (ถ้ามีอุปกรณ์)

  • ตรวจค่าความเข้มข้นของแลคเตทในเลือด เพื่อหา Lactate Threshold รายบุคคล
  • หากไม่มีอุปกรณ์สามารถใช้ทางเลือกคือ %VDOT, HR หรือความรู้สึกจาก T-pace แทนได้

5. ⏱ Specific Session Performance

  • Interval Zone (I): ใช้ Time-to-Exhaustion หรือ 5K race pace วัดพัฒนาการ
  • Repetition Zone (R): ดูความสม่ำเสมอ, ความรู้สึก “เบา” และฟอร์มที่มั่นคง
  • Running Economy: ดูจากการทำเวลาเดิมได้ดีขึ้นโดยรู้สึกเหนื่อยน้อยลง

สรุป: ฝึกให้ดีขึ้น ด้วยการ “ติดตามที่ดีขึ้น”

Practical Monitoring ไม่ใช่แค่ตัวเลือกสำหรับนักกีฬามืออาชีพ — แต่นักวิ่งทุกคนควรใช้มันในการพัฒนาตนเอง โดยเฉพาะในโปรแกรมที่ออกแบบตามหลักสรีรวิทยาอย่าง VDOT-based training

เพียงคุณรู้ว่า “ตอนนี้เรายืนอยู่ตรงไหน” ก็จะสามารถกำหนดทิศทางไปข้างหน้าได้อย่างมั่นใจ


สรุปหลักการเชิงปฏิบัติ (Takeaways)

  1. ฝึกแยกแต่ละ “ระบบ” ด้วยจุดประสงค์เฉพาะ: E สำหรับ Cardio & Peripheral, T สำหรับ Lactate Threshold, I สำหรับ VO₂max, R สำหรับ Speed/Economy
  2. E runs เป็นฐานสำคัญ: ใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับ E runs เพื่อสร้างฐานที่แข็งแรง และมี Quality Sessions แบบมีเป้าหมายไม่เกิน 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์
  3. ทดสอบและติดตามด้วย VDOT: ใช้ VDOT หรือผลการแข่งขันจริงเพื่อปรับ Pace และวัดพัฒนาการ

การทำความเข้าใจหลักการเหล่านี้จะช่วยให้นักวิ่งสามารถออกแบบและปรับโปรแกรมการฝึกซ้อมให้เหมาะสมกับเป้าหมายและความสามารถของตนเองได้อย่างมีประสิทธิภาพและลดความเสี่ยงจากการบาดเจ็บ

ใส่ความเห็น