📌 EP208 คือคู่มือฉบับสมบูรณ์ สำหรับนักวิ่งที่อยากเข้าใจหลักวิทยาศาสตร์ของการฝึกซ้อมจริงจัง พร้อมวิธีวางแผนฝึกให้แม่นยำและยั่งยืน
🎧 ฟังเต็ม ๆ ได้ที่ YouTube / Spotify / Apple Podcast
TL:DR
การพัฒนาศักยภาพของนักวิ่งระยะไกลไม่ใช่เรื่องของ “ฝึกให้หนักขึ้น” อย่างเดียว แต่ต้องอาศัย ความเข้าใจเชิงสรีรวิทยาอย่างลึกซึ้ง และการออกแบบโปรแกรมฝึกอย่างเป็นระบบ Podcast EP208 ของเราได้นำเสนอเนื้อหาจาก Daniels’ Running Formula – Physiology of Training Intensities พร้อมสรุป 6 เสาหลักทางสรีรวิทยา, แนวทางฝึกตามโซนต่าง ๆ, ระบบ VDOT, และเทคนิคการติดตามพัฒนาการที่ใช้ได้จริง
✅ หัวใจของการฝึก: พัฒนาสรีรวิทยา 6 เสาหลัก
EP208 เริ่มต้นด้วยการอธิบาย “รากฐานของสมรรถภาพ” ที่แบ่งออกเป็น 6 ด้านสำคัญ ได้แก่ ระบบหัวใจ-หลอดเลือด, ระบบกล้ามเนื้อ, Lactate Threshold, VO₂max, ความเร็ว (Speed), และ Running Economy โดยแต่ละด้านมีวิธีการฝึกเฉพาะ เช่น:
- Easy Runs / Long Runs (E zone) เน้นเพิ่มความทนทานของระบบหัวใจและกล้ามเนื้อ
- Threshold Pace (T zone) สำหรับพัฒนา Lactate Threshold
- Interval Training (I zone) เพื่อดึงศักยภาพ VO₂max ออกมา
- Repetition Runs (R zone) สำหรับฝึกเทคนิคและความเร็ว

🎯 ระบบโซนการฝึก & VDOT
เพื่อให้การฝึกมีประสิทธิภาพ นักวิ่งต้องรู้ว่า “ควรฝึก pace ไหน เพื่อให้ร่างกายตอบสนองตามเป้าหมาย” ระบบ VDOT คือหัวใจในการเชื่อมโยงข้อมูลทางวิทยาศาสตร์กับสนามวิ่งจริง โดยคำนวณจากเวลาแข่งขันหรือ Time Trial ช่วยให้กำหนด Training Paces ได้แม่นยำ โดยไม่ต้องเข้าห้องแล็บ
📊 Practical Monitoring: ติดตามผลได้อย่างแม่นยำ
EP208 ยังให้แนวทาง “การติดตามพัฒนาการที่ใช้ได้จริง” ไม่ว่าจะเป็น:
- ผลการแข่งขัน / Time Trial (ใช้คำนวณ VDOT)
- การสังเกตอัตราการเต้นของหัวใจขณะพัก (Resting HR) และขณะซ้อม
- RPE (Rate of Perceived Exertion) และความรู้สึกในการฟื้นตัว
- การวัดแลคเตท (ถ้ามีอุปกรณ์)
🧩 เติมเต็มด้วย “การฝึกเสริม”
แม้จะไม่ใช่แกนหลักในการพัฒนา VO₂max หรือ Threshold แต่ การฝึกเสริม อย่าง Strength Training, Mobility/Flexibility, โภชนาการ และการให้น้ำ ล้วนเป็นปัจจัยที่ช่วยให้นักวิ่งรับภาระการฝึกได้มากขึ้น ลดการบาดเจ็บ และวิ่งได้ประหยัดพลังงานมากขึ้น
⛰️ การฝึกซ้อมที่ความสูง (Altitude Training)
EP208 ยังเจาะลึกเรื่อง “การฝึกที่ความสูงระดับ 2,000–2,500 เมตร” เพื่อกระตุ้นร่างกายให้ปรับตัว เพิ่มปริมาตรเลือด และเมื่อกลับมาระดับน้ำทะเล จะมีผลต่อการพัฒนาความอึดและสมรรถภาพโดยรวม (แต่ต้องวางแผนและมีช่วงปรับตัวที่ดี)
ตามแหล่งข้อมูลและประวัติการสนทนาของเรา การทำความเข้าใจเกี่ยวกับ “องค์ประกอบสรีรวิทยาหลัก 6 ประการ” ถือเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในการออกแบบโปรแกรม “การฝึกซ้อมสำหรับนักวิ่งระยะไกล” ที่มีประสิทธิภาพและเป็นระบบ. เอกสารอ้างอิงหลักการจาก “Daniels’ Running Formula – Physiology of Training Intensities” ซึ่งระบุถึง “6 เสาหลักของสมรรถภาพ” ที่จำเป็นสำหรับนักวิ่งระยะไกล.
องค์ประกอบสรีรวิทยาหลัก 6 ประการสำหรับนักวิ่งระยะไกล
เอกสารได้จัดหมวดหมู่องค์ประกอบเหล่านี้เพื่อความชัดเจนในการทำความเข้าใจและนำไปประยุกต์ใช้ในการฝึกซ้อม โดยสององค์ประกอบแรกเป็น “ระบบ” ทางกายภาพที่แท้จริงของร่างกาย ส่วนที่เหลือเป็น “ปรากฏการณ์ที่ซับซ้อน” ที่สามารถพัฒนาได้ผ่านการฝึกซ้อมที่เฉพาะเจาะจง.

ร่างกายก็เหมือนคอมพิวเตอร์: ฝึก Hardware ด้วย E-runs อัปเกรด Software ด้วย T-I-R
นักวิ่งระยะไกลไม่ต่างจากระบบคอมพิวเตอร์ที่ซับซ้อน — ร่างกายคุณมีทั้ง ฮาร์ดแวร์ (Hardware) และ ซอฟต์แวร์ (Software) ที่ต้องได้รับการพัฒนาอย่างสมดุล
ภาพอินโฟกราฟิกนี้เปรียบเทียบระบบสรีรวิทยาของนักวิ่งกับองค์ประกอบของคอมพิวเตอร์ เพื่ออธิบายให้เข้าใจง่ายว่า การฝึกซ้อมแต่ละแบบนั้นมีผลกับ “ส่วนไหน” ของระบบร่างกายคุณบ้าง
💡 Hardware = ระบบทางกายภาพของร่างกาย
ประกอบด้วย:
- Cardiovascular System (ระบบหัวใจ-หลอดเลือด): เหมือน CPU และระบบจ่ายพลังงานที่ส่งเลือดและออกซิเจนไปยังกล้ามเนื้อ
- Muscular System (ระบบกล้ามเนื้อ): เปรียบได้กับ RAM, GPU และระบบกลไกที่แปรสภาพพลังงานให้เป็นการเคลื่อนไหว
รูปแบบการฝึกที่พัฒนา Hardware ได้ดีที่สุด:
✅ Easy Runs (E-Zone)
เน้นชั่วโมงฝึกที่ปริมาณมากแต่เข้มข้นน้อย เพื่อเสริมความแข็งแกร่งของหัวใจ, เพิ่ม stroke volume, เพิ่มปริมาณไมโตคอนเดรียในกล้ามเนื้อ และสร้างระบบเผาผลาญพลังงานที่มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
🧠 Software = ปรากฏการณ์ซับซ้อนที่ต้องการการฝึกเฉพาะ
ประกอบด้วย:
- Lactate Threshold: เหมือนกับความสามารถในการ “ประมวลผล” ได้รวดเร็วขึ้นโดยไม่ล้นระบบ
- VO₂max: เปรียบได้กับความเร็วของนาฬิกา CPU — ยิ่งสูง ยิ่งเร็ว
- Speed: ความสามารถในการทำงานแบบ peak performance
- Running Economy: ประสิทธิภาพการใช้พลังงานของร่างกาย (ใช้พลังน้อยลง แต่ได้ผลลัพธ์เท่าเดิม)
รูปแบบการฝึกที่อัปเกรด Software:
✅ Threshold (T-Zone) — เพิ่ม lactate threshold
✅ Intervals (I-Zone) — ดันเพดาน VO₂max ให้สูงขึ้น
✅ Repetitions (R-Zone) — ฝึก speed และปรับ biomechanics ให้คมขึ้น
🔁 วางแผนฝึกแบบนักวิ่งที่เข้าใจระบบตัวเอง
Train the Hardware with E runs: วิ่งช้าแต่นาน เพื่อเสริมพื้นฐานให้ระบบร่างกายแข็งแรงและทนทาน
Upgrade the Software with T-I-R runs: ใส่คุณภาพด้วยการฝึกความเข้มข้นเฉพาะด้าน เพื่อดึง performance ออกมาได้อย่างเต็มที่

1. ระบบหัวใจ-หลอดเลือด (Cardiovascular System)
◦ ทำไมสำคัญ: เป็นตัวส่งออกซิเจนไปยังกล้ามเนื้อที่กำลังทำงาน. ประสิทธิภาพขึ้นอยู่กับกำลังสูบฉีดของหัวใจ (Cardiac Output = Stroke Volume × Heart Rate) และความสามารถในการบรรทุกออกซิเจนของเลือด.
◦ วัตถุประสงค์การพัฒนา: เพิ่มความสามารถในการส่งออกซิเจน โดยเฉพาะการเพิ่มปริมาตรเลือดที่หัวใจบีบออกต่อครั้ง (stroke volume) และขยายปริมาตรเลือดโดยรวม. สิ่งนี้จะช่วยลดอัตราการเต้นของหัวใจขณะพักและขณะออกกำลังกายในระดับซับแม็กซ์ ทำให้ร่างกายรับภาระการฝึกที่สูงขึ้นได้โดยไม่ล้ามากเกินไป.
◦ กลไกสรีรวิทยา: การฝึกทำให้กล้ามเนื้อหัวใจแข็งแรงขึ้น เพิ่ม stroke volume. มีการเพิ่มปริมาตรพลาสมาในเลือดและการไหลเวียนเลือด (perfusion) ไปยังกล้ามเนื้อ. รวมถึงการปรับปรุงการกระจายเลือดไปยังกล้ามเนื้อขณะออกกำลังกาย.
◦ การฝึก: Easy/Long runs (E zone) ถือเป็นหัวใจหลักในการพัฒนาระบบนี้. “เวลา” ที่ใช้ในโซนความเข้มข้นต่ำนี้สำคัญกว่าความเข้มข้นที่สูง. Easy runs ควรคิดเป็นสัดส่วนสูงสุดของสัปดาห์ (60–75% ของชั่วโมงวิ่ง).

2. ระบบกล้ามเนื้อ (Muscular System / Peripheral Adaptations)
◦ ทำไมสำคัญ: กล้ามเนื้อคือจุดที่รับและแปรสภาพออกซิเจน. หากเซลล์กล้ามเนื้อมีไมโตคอนเดรีย (mitochondria) มากขึ้น, เอนไซม์ออกซิเดทีฟเพิ่มขึ้น และหลอดเลือดฝอย (capillarization) ดีขึ้น จะช่วยให้ใช้พลังงานแบบแอโรบิกได้มีประสิทธิภาพมากขึ้นและทนทานได้นานขึ้น.
◦ วัตถุประสงค์การพัฒนา: เพิ่มความสามารถในการประมวลผลออกซิเจนในระดับเซลล์ (เช่น เพิ่มจำนวนไมโตคอนเดรียและเอนไซม์ออกซิเดทีฟ). เพิ่มจำนวนและประสิทธิภาพของหลอดเลือดฝอย รวมถึงปรับปรุงการใช้เชื้อเพลิงของกล้ามเนื้อ (เก็บไกลโคเจน, ใช้ไขมันได้ดีขึ้น).
◦ กลไกสรีรวิทยา: การออกกำลังกายที่มีความเข้มข้นต่ำถึงปานกลางเป็นเวลานานจะกระตุ้นการสร้างไมโตคอนเดรีย, เพิ่มความหนาแน่นของหลอดเลือดฝอย และเพิ่มกิจกรรมของเอนไซม์ออกซิเดทีฟ.
◦ การฝึก: Easy runs & Long runs กระตุ้นการปรับตัวเหล่านี้ได้ดีที่สุด โดยเน้นที่ “เวลายาว” ในการฝึก. อาจเสริมด้วย tempo interval ที่ไม่หนักเกินไปเพื่อเร่งการปรับตัวทางเมตาบอลิซึมในกล้ามเนื้อ.



3. Lactate Threshold (ขีดจำกัดแลคเตท)
◦ ทำไมสำคัญ: เป็นจุดที่ระดับแลคเตทในเลือดเริ่มสะสมอย่างรวดเร็ว ซึ่งบ่งชี้ถึงความเร็วที่คุณสามารถวิ่งได้ “นาน” โดยไม่เกิดความล้า. ยิ่งสามารถเลื่อนขีดจำกัดนี้ไปที่ความเร็วสูงขึ้นได้มากเท่าไร ก็จะวิ่งได้เร็วขึ้นในระยะยาว. การทดสอบจะเห็นจุดที่เส้นโค้งแลคเตทเปลี่ยนจากความชันน้อยไปเป็นความชันมาก.
◦ วัตถุประสงค์การพัฒนา: เพื่อให้ร่างกายสามารถวิ่งใกล้เคียงกับ VO₂max ได้โดยไม่เพิ่มระดับแลคเตทสูงเกินไป. เพิ่มความเร็วที่สามารถรักษาระดับแลคเตทให้คงที่ได้นานขึ้น (ประมาณ 20-60 นาที).
◦ กลไกสรีรวิทยา: เพิ่มการผลิตพลังงานแบบแอโรบิกทั่วกล้ามเนื้อ ลดสัดส่วนการใช้พลังงานแบบอนาแอโรบิกที่ผลิตแลคเตท. ปรับปรุงการเคลื่อนย้ายแลคเตท (clearance) ผ่านหัวใจ, ตับ และกล้ามเนื้ออื่น ๆ.
◦ การฝึก: T-pace/tempo (T zone) เป็นการฝึกที่เหมาะสมที่สุด. อาจเป็นการวิ่งแบบต่อเนื่อง 20–60 นาที หรือ cruise intervals (เช่น 3×12 นาที @ T pace, พัก 2–3 นาที). มีเจตนาเพื่อฝึกการทำงานใกล้ threshold โดยใช้ความเครียดที่กำลังพอดีหรือ “สบายแต่หนัก”.


4. VO₂max (Aerobic Capacity)
◦ ทำไมสำคัญ: เป็นเพดานของการใช้พลังงานแบบแอโรบิกของร่างกาย. VO₂max ที่สูงขึ้นหมายถึงศักยภาพที่จะวิ่งได้เร็วขึ้น แต่ต้องประกอบกับ economy และ threshold ที่ดีด้วย.
◦ วัตถุประสงค์การพัฒนา: ยกเพดานแอโรบิก เพื่อให้ความเร็วที่ใช้ VO₂max (vVO₂max) สูงขึ้น. ทำให้ความเร็วที่ต้องการในการแข่งขันอยู่ในความสามารถแอโรบิกที่สูงขึ้น.
◦ กลไกสรีรวิทยา: ต้องมีการปรับปรุงทั้งการส่งออกซิเจน (ผ่านหัวใจและเลือด) และการประมวลผลของกล้ามเนื้อ (ผ่านไมโตคอนเดรียและหลอดเลือดฝอย).
◦ การฝึก: Interval training (I zone) เหมาะที่สุด. เป็นการวิ่ง 3–5 นาที ตามด้วยการจ็อกกิ้งพักที่ระยะเวลาใกล้เคียงกัน. ทำ 3–6 ครั้ง ที่ความเข้มข้นประมาณ 95–100% VO₂max (หรือ HR ≈ 98–100% HRmax). ควรระวังไม่ให้การทำงานยาวเกิน 5 นาที เพราะจะเพิ่มการใช้ระบบอนาแอโรบิกมากเกินไป. นอกจากนี้ การวิ่งเร็วเกินไปในเซสชัน Interval อาจนำไปสู่การสะสมกรดแลคติกมากเกินไป ซึ่งส่งผลเสียต่อเป้าหมายหลักของการพัฒนาระบบแอโรบิก.


5. Speed (ความเร็ว)
◦ ทำไมสำคัญ: พัฒนา “ความเร็ว” และทักษะการวิ่ง. ช่วยให้มีการออกตัวหรือเข้าเส้นชัยที่ดีขึ้น (finishing kick) และปรับปรุง running economy ผ่านการฝึกเทคนิคและการเลือกใช้ motor units ที่เหมาะสม.
◦ วัตถุประสงค์การพัฒนา: เพิ่มความเร็วสูงสุดสำหรับการเร่ง, ปรับปรุงกลไกการวิ่ง (mechanics/stride) และลดการเคลื่อนไหวที่ไม่จำเป็น เพื่อให้ใช้พลังงานน้อยลงเมื่อวิ่งด้วย pace แข่งขัน.
◦ กลไกสรีรวิทยา: ฝึกการ recruitment ของ fast-twitch motor units ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น, ปรับปรุงการประสานงานของระบบประสาทและกล้ามเนื้อ (neuromuscular coordination) และฝึกการวิ่งที่เร็วอย่างมีประสิทธิผล.
◦ การฝึก: Reps (R zone) เป็นการทำงานที่สั้น (เช่น 200–800m) ที่ race pace หรือเร็วกว่า โดยมีการพักเต็มที่ (full recovery). เป้าหมายคือคุณภาพและกลไกการวิ่ง ไม่ใช่การทำลายระบบแอโรบิก.

6. Running Economy (ความประหยัดพลังงาน)
◦ ทำไมสำคัญ: หากนักวิ่งสามารถวิ่งด้วย pace เดียวกันแต่ใช้ปริมาณออกซิเจน (VO₂) น้อยกว่า หมายถึงมี economy ที่ดีกว่า. สิ่งนี้ช่วยให้สามารถรักษาความเร็วที่สูงขึ้นได้ด้วยพลังงานเท่าเดิม ทำให้ประสิทธิภาพในการแข่งขันดีขึ้น.
◦ วัตถุประสงค์การพัฒนา: ลดค่า VO₂ ที่ใช้ในการวิ่งที่ pace แข่งขัน. เพิ่มประสิทธิภาพของท่าวิ่ง (stride) และการควบคุมมอเตอร์ (motor control) ทำให้การวิ่งด้วย race pace นั้น “ประหยัดพลังงาน” มากขึ้น.
◦ กลไกสรีรวิทยา: ปรับปรุงรูปแบบการวิ่ง (biomechanics), เลือกใช้ motor units ที่เหมาะสม และเพิ่มความแข็งตึงเล็กน้อยของเอ็น/กล้ามเนื้อเพื่อการคืนพลังงาน (elastic recoil).
◦ การฝึก: Repetition training & sprint drills เพื่อฝึกกลไกการวิ่งที่เร็วและเพิ่มความคุ้นเคยกับ pace แข่งขัน. เทคนิคที่ใช้ ได้แก่ strides, drills (A-skips, B-skips), plyometrics เบา ๆ และการฝึกความแข็งแรงเฉพาะกล้ามเนื้อขา. เอกสารเน้นว่าค่า V̇O₂max เพียงอย่างเดียวอาจทำให้เข้าใจผิดได้ เพราะนักวิ่งที่มี V̇O₂max สูงมากอาจทำผลงานได้ไม่ดีหาก Running Economy แย่.


บริบทที่ใหญ่ขึ้นของการฝึกซ้อมสำหรับนักวิ่งระยะไกล
องค์ประกอบสรีรวิทยาทั้ง 6 นี้ไม่ได้แยกจากกัน แต่ทำงานร่วมกันและเป็นส่วนหนึ่งของระบบการฝึกซ้อมที่ครอบคลุม:
• Easy Runs เป็นฐานราก: การวิ่งโซน E หรือ Easy runs เป็นหัวใจหลักในการสร้างพื้นฐานที่แข็งแรง. เป็นการพัฒนาระบบหัวใจ-หลอดเลือดและการปรับตัวของกล้ามเนื้อ ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญที่ทำให้การฝึกที่ความเข้มข้นสูงสามารถทำได้.
• ระบบ VDOT: เป็นเครื่องมือสำคัญที่เชื่อมโยงข้อมูลทางสรีรวิทยาในห้องปฏิบัติการเข้ากับผลงานการแข่งขันจริงของนักวิ่ง. VDOT เป็นค่าประมาณความสามารถแอโรบิก (aerobic capacity) ที่ได้จากเวลาในการแข่งขัน. การรู้ค่า VDOT ช่วยให้นักวิ่งสามารถกำหนด pace การฝึกที่แม่นยำสำหรับแต่ละโซน เพื่อให้เกิดการปรับตัวทางสรีรวิทยาที่ต้องการในแต่ละองค์ประกอบ โดยไม่ต้องพึ่งการทดสอบในห้องปฏิบัติการที่มีค่าใช้จ่ายสูงและใช้เวลานาน.
• โซนการฝึกซ้อม (Training Zones): Daniels ได้แบ่งโซนการฝึกออกเป็น 5 โซนหลัก ได้แก่ E (Easy), M (Marathon-pace), T (Threshold), I (Interval for VO₂max), และ R (Reps/Speed). แต่ละโซนมีวัตถุประสงค์ที่ชัดเจนในการกระตุ้นและพัฒนาองค์ประกอบสรีรวิทยาเฉพาะ. สิ่งสำคัญคือต้องเข้าใจและฝึกในแต่ละโซนตามวัตถุประสงค์ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดและลดความเสี่ยงจากการบาดเจ็บ.
• การจัดการภาระการฝึกด้วย Training Points: เอกสารยังเสนอระบบ “training points” ที่เป็นนวัตกรรมใหม่ เพื่อวัดภาระการฝึกโดยรวม. ระบบนี้ให้ค่าคะแนนต่อนาทีตามความเข้มข้นของการวิ่ง ทำให้สามารถติดตามปริมาณความเครียดในการฝึกได้แม่นยำกว่าการนับเพียงระยะทาง. ช่วยให้นักวิ่งทุกระดับความสามารถสามารถจัดการภาระการฝึกได้อย่างเหมาะสม และป้องกันภาวะ overtraining.
• การติดตามพัฒนาการ: การติดตามความคืบหน้าขององค์ประกอบเหล่านี้สามารถทำได้ผ่านผลการแข่งขันหรือ time trial (ซึ่งเป็นวิธีที่ง่ายที่สุดและตรงประเด็น), แนวโน้มของอัตราการเต้นของหัวใจ (ขณะพักและขณะออกกำลังกาย submax), RPE (ความรู้สึกเหนื่อย) และความรู้สึกในการฟื้นตัว. หากมีอุปกรณ์ ก็สามารถใช้การทดสอบแลคเตทเพื่อระบุ threshold แบบรายบุคคลได้.
โดยสรุปแล้ว การฝึกซ้อมสำหรับนักวิ่งระยะไกลที่มีประสิทธิภาพต้องอาศัยการทำความเข้าใจอย่างลึกซึ้งถึงองค์ประกอบสรีรวิทยาหลักทั้ง 6 ประการนี้ และการออกแบบโปรแกรมการฝึกที่มุ่งเน้นการพัฒนาแต่ละองค์ประกอบอย่างมีวัตถุประสงค์และเป็นระบบ โดยมี Easy runs เป็นฐาน และใช้ระบบ VDOT เป็นตัวกำหนด pace ที่แม่นยำ.

Aerobic Profile: รู้จักศักยภาพร่างกายเพื่อพัฒนาการฝึกวิ่งระยะไกลอย่างแม่นยำ
การฝึกซ้อมที่มีประสิทธิภาพสำหรับนักวิ่งระยะไกลไม่อาจอาศัยการฝึกซ้ำ ๆ โดยไร้ทิศทาง แต่ต้องเริ่มจากการเข้าใจศักยภาพร่างกายของตนเองอย่างลึกซึ้ง — และหนึ่งในเครื่องมือที่สำคัญคือ “Aerobic Profile” หรือ โปรไฟล์ระบบแอโรบิกของนักวิ่ง ซึ่งช่วยให้สามารถออกแบบโปรแกรมฝึกซ้อมให้ตรงจุดมากที่สุด
ความสำคัญของ Aerobic Profile
Aerobic Profile คือแผนภาพที่แสดงถึงศักยภาพทางสรีรวิทยาของนักวิ่งในมิติต่าง ๆ เช่น ความสามารถในการใช้ออกซิเจน, การสะสมแลคเตท, อัตราการเต้นของหัวใจ และประสิทธิภาพในการใช้พลังงาน ทุกองค์ประกอบเหล่านี้ล้วนเชื่อมโยงกับประสิทธิภาพในการวิ่งจริง
❝ ข้อมูลเพียงค่า VO₂max อย่างเดียวอาจไม่เพียงพอ — นักวิ่งที่มีค่า VO₂max สูงอาจยังแพ้คู่แข่งที่มี Running Economy ดีกว่าได้ ❞

วิธีการสร้าง Aerobic Profile
สามารถทำได้ทั้งในห้องแล็บและในสนามฝึกจริง โดยเฉพาะหากมีอุปกรณ์สำหรับวัด:
- VO₂ Curve – ความสัมพันธ์ระหว่างการใช้ออกซิเจนกับความเร็วการวิ่ง
- Heart Rate Curve – แสดงอัตราการเต้นของหัวใจเมื่อความเร็วเพิ่มขึ้น
- Blood Lactate Curve – แสดงระดับแลคเตทกับความเร็ว โดยจุดที่เปลี่ยนความชันคือ Lactate Threshold
- vVO₂max – ความเร็วที่ร่างกายใช้ VO₂ สูงสุดครั้งแรก เป็นตัวชี้วัดศักยภาพที่รวม VO₂max และ Running Economy

ระบบ VDOT: สะพานจากแล็บสู่สนามจริง

ระบบ VDOT คือค่า Aerobic Capacity ที่ได้จาก ผลการแข่งขันจริงหรือ Time Trial โดยไม่ต้องพึ่งห้องแล็บ ช่วยให้นักวิ่งสามารถ:
- กำหนด Training Paces ที่แม่นยำสำหรับทุกโซน
- ปรับจุดอ่อนในองค์ประกอบทั้ง 6 ด้าน เช่น พัฒนา Threshold หรือ Economy เพิ่มเติม
- ประเมินความก้าวหน้าได้ชัดเจนเมื่อนำไปเทียบย้อนหลัง
ตาราง 1 VDOT (ดูคำแนะนำด้านล่าง ตาราง)
| VDOT | 1500m | Mile | 3,000m | 2-mile | 5,000m | 10,000m | 15K | Half-marathon | Marathon |
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| 30 | 8:30 | 9:11 | 17:56 | 19:19 | 30:40 | 63:46 | 98:14 | 2:21:04 | 4:49:17 |
| 31 | 8:15 | 8:55 | 17:27 | 18:48 | 29:51 | 62:03 | 95:36 | 2:17:21 | 4:41:57 |
| 32 | 8:02 | 8:41 | 16:59 | 18:18 | 29:05 | 60:26 | 93:07 | 2:13:49 | 4:34:59 |
| 33 | 7:49 | 8:27 | 16:33 | 17:50 | 28:21 | 58:54 | 90:45 | 2:10:27 | 4:28:22 |
| 34 | 7:37 | 8:14 | 16:09 | 17:24 | 27:39 | 57:26 | 88:30 | 2:07:16 | 4:22:03 |
| 35 | 7:25 | 8:01 | 15:45 | 16:58 | 27:00 | 56:03 | 86:22 | 2:04:13 | 4:16:03 |
| 36 | 7:14 | 7:49 | 15:23 | 16:34 | 26:22 | 54:44 | 84:20 | 2:01:19 | 4:10:19 |
| 37 | 7:04 | 7:38 | 15:01 | 16:11 | 25:46 | 53:29 | 82:24 | 1:58:34 | 4:04:50 |
| 38 | 6:54 | 7:27 | 14:41 | 15:49 | 25:12 | 52:17 | 80:33 | 1:55:55 | 3:59:35 |
| 39 | 6:44 | 7:17 | 14:21 | 15:29 | 24:39 | 51:09 | 78:47 | 1:53:24 | 3:54:34 |
| 40 | 6:35 | 7:07 | 14:03 | 15:08 | 24:08 | 50:03 | 77:06 | 1:50:59 | 3:49:45 |
| 41 | 6:27 | 6:58 | 13:45 | 14:49 | 23:38 | 49:01 | 75:29 | 1:48:40 | 3:45:09 |
| 42 | 6:19 | 6:49 | 13:28 | 14:31 | 23:09 | 48:01 | 73:56 | 1:46:27 | 3:40:43 |
| 43 | 6:11 | 6:41 | 13:11 | 14:13 | 22:41 | 47:04 | 72:27 | 1:44:20 | 3:36:28 |
| 44 | 6:03 | 6:32 | 12:55 | 13:56 | 22:15 | 46:09 | 71:02 | 1:42:17 | 3:32:23 |
| 45 | 5:56 | 6:25 | 12:40 | 13:40 | 21:50 | 45:16 | 69:40 | 1:40:20 | 3:28:26 |
| 46 | 5:49 | 6:17 | 12:26 | 13:25 | 21:25 | 44:25 | 68:22 | 1:38:27 | 3:24:39 |
| 47 | 5:42 | 6:10 | 12:12 | 13:10 | 21:02 | 43:36 | 67:06 | 1:36:38 | 3:21:00 |
| 48 | 5:36 | 6:03 | 11:58 | 12:55 | 20:39 | 42:50 | 65:53 | 1:34:53 | 3:17:29 |
| 49 | 5:30 | 5:56 | 11:45 | 12:41 | 20:18 | 42:04 | 64:44 | 1:33:12 | 3:14:06 |
| 50 | 5:24 | 5:50 | 11:33 | 12:28 | 19:57 | 41:21 | 63:36 | 1:31:35 | 3:10:49 |
| 51 | 5:18 | 5:44 | 11:21 | 12:15 | 19:36 | 40:39 | 62:31 | 1:30:02 | 3:07:39 |
| 52 | 5:13 | 5:38 | 11:09 | 12:02 | 19:17 | 39:59 | 61:29 | 1:28:31 | 3:04:36 |
| 53 | 5:07 | 5:32 | 10:58 | 11:50 | 18:58 | 39:20 | 60:28 | 1:27:04 | 3:01:39 |
| 54 | 5:02 | 5:27 | 10:47 | 11:39 | 18:40 | 38:42 | 59:30 | 1:25:40 | 2:58:47 |
| 55 | 4:57 | 5:21 | 10:37 | 11:28 | 18:22 | 38:06 | 58:33 | 1:24:18 | 2:56:01 |
| 56 | 4:53 | 5:16 | 10:27 | 11:17 | 18:05 | 37:31 | 57:39 | 1:23:00 | 2:53:20 |
| 57 | 4:48 | 5:11 | 10:17 | 11:06 | 17:49 | 36:57 | 56:46 | 1:21:43 | 2:50:45 |
| 58 | 4:44 | 5:06 | 10:08 | 10:56 | 17:33 | 36:24 | 55:55 | 1:20:30 | 2:48:14 |
| 59 | 4:39 | 5:02 | 9:58 | 10:46 | 17:17 | 35:52 | 55:06 | 1:19:18 | 2:45:47 |
| 60 | 4:35 | 4:57 | 9:50 | 10:37 | 17:03 | 35:22 | 54:18 | 1:18:09 | 2:43:25 |
| 61 | 4:31 | 4:53 | 9:41 | 10:27 | 16:48 | 34:52 | 53:32 | 1:17:02 | 2:41:08 |
| 62 | 4:27 | 4:49 | 9:33 | 10:18 | 16:34 | 34:23 | 52:47 | 1:15:57 | 2:38:54 |
| 63 | 4:24 | 4:45 | 9:25 | 10:10 | 16:20 | 33:55 | 52:03 | 1:14:54 | 2:36:44 |
| 64 | 4:20 | 4:41 | 9:17 | 10:01 | 16:07 | 33:28 | 51:21 | 1:13:53 | 2:34:38 |
| 65 | 4:16 | 4:37 | 9:09 | 9:53 | 15:54 | 33:02 | 50:40 | 1:12:53 | 2:32:35 |
| 66 | 4:13 | 4:33 | 9:02 | 9:45 | 15:42 | 32:35 | 50:00 | 1:12:00 | 2:30:36 |
| 67 | 4:10 | 4:30 | 8:55 | 9:37 | 15:29 | 32:11 | 49:22 | 1:11:00 | 2:28:40 |
| 68 | 4:06 | 4:26 | 8:48 | 9:30 | 15:18 | 31:46 | 48:44 | 1:10:05 | 2:26:47 |
| 69 | 4:03 | 4:23 | 8:41 | 9:23 | 15:06 | 31:23 | 48:08 | 1:09:12 | 2:24:57 |
| 70 | 4:00 | 4:19 | 8:34 | 9:16 | 14:55 | 31:00 | 47:32 | 1:08:21 | 2:23:10 |
| 71 | 3:57 | 4:16 | 8:28 | 9:09 | 14:44 | 30:38 | 46:58 | 1:07:31 | 2:21:26 |
| 72 | 3:54 | 4:13 | 8:22 | 9:02 | 14:33 | 30:16 | 46:24 | 1:06:42 | 2:19:44 |
| 73 | 3:52 | 4:10 | 8:16 | 8:55 | 14:23 | 29:55 | 45:51 | 1:05:54 | 2:18:05 |
| 74 | 3:49 | 4:07 | 8:10 | 8:49 | 14:13 | 29:34 | 45:19 | 1:05:08 | 2:16:29 |
| 75 | 3:46 | 4:04 | 8:04 | 8:43 | 14:03 | 29:14 | 44:48 | 1:04:23 | 2:14:55 |
| 76 | 3:44 | 4:02 | 7:58 | 8:37 | 13:54 | 28:55 | 44:18 | 1:03:39 | 2:13:23 |
| 77 | 3:41 | 3:58 | 7:53 | 8:31 | 13:44 | 28:36 | 43:49 | 1:02:56 | 2:11:54 |
| 78 | 3:38 | 3:56 | 7:48 | 8:25 | 13:35 | 28:17 | 43:20 | 1:02:15 | 2:10:27 |
| 79 | 3:35 | 3:53 | 7:43 | 8:20 | 13:26 | 27:59 | 42:52 | 1:01:34 | 2:09:02 |
| 80 | 3:34 | 3:51 | 7:37 | 8:14 | 13:17 | 27:41 | 42:25 | 1:00:54 | 2:07:38 |
| 81 | 3:31 | 3:48 | 7:32 | 8:08 | 13:09 | 27:24 | 41:58 | 1:00:15 | 2:06:17 |
| 82 | 3:29 | 3:46 | 7:27 | 8:03 | 13:01 | 27:07 | 41:32 | 0:59:38 | 2:04:57 |
| 83 | 3:27 | 3:44 | 7:23 | 7:58 | 12:53 | 26:51 | 41:06 | 0:59:01 | 2:03:40 |
| 84 | 3:25 | 3:41 | 7:18 | 7:53 | 12:45 | 26:34 | 40:42 | 0:58:25 | 2:02:24 |
| 85 | 3:23 | 3:39 | 7:14 | 7:48 | 12:37 | 26:19 | 40:17 | 0:57:50 | 2:01:10 |
ตาราง VDOT คืออะไร และใช้อย่างไร?
ตาราง VDOT คือเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้นักวิ่งสามารถ คำนวณสมรรถภาพแอโรบิก (Aerobic Capacity) จากผลงานในการแข่งขันระยะใดก็ได้ และนำไปใช้เพื่อ:
- พยากรณ์เวลาในการแข่งขันระยะอื่น ได้อย่างแม่นยำ (เช่น จากเวลา 10K ทำนายเวลามาราธอนได้)
- กำหนด pace ที่เหมาะสมสำหรับการฝึกในโซนต่างๆ เช่น Threshold, Interval หรือ Marathon Pace
ตารางที่แสดงนี้คือ เวอร์ชันย่อของตาราง VDOT ที่สมบูรณ์ ซึ่งปรากฏอยู่ในหนังสือ Oxygen Power โดยในฉบับเต็มจะมีค่าที่ละเอียดมากขึ้น ครอบคลุมมากกว่า 40 ระยะ และมีการแบ่งย่อย VDOT เป็นทศนิยม
วิธีใช้ตาราง VDOT
- เพียงดู เวลาในการแข่งขันล่าสุด ของคุณในระยะทางใดก็ได้ (เช่น 5K, 10K, Half-marathon)
- อ่านแถวแนวนอน เพื่อหาค่า VDOT ที่ตรงกับเวลา ของคุณ
- หากมีเวลาจากหลายระยะ ให้เลือกระยะที่ให้ค่า VDOT สูงที่สุด ซึ่งจะแสดงถึงระดับความฟิตปัจจุบันของคุณได้แม่นยำที่สุด
หมายเหตุสำคัญ:
เพื่อให้ได้ค่าที่ถูกต้องที่สุด ควรใช้เวลาจากการแข่งขันที่:
- เป็น สนามเรียบ
- มีสภาพอากาศดี ไม่มีลมแรงหรือความร้อนจัด
- เป็นระยะที่ใช้เวลา ระหว่าง 3.5 นาที ถึง 3.5 ชั่วโมง เช่น 1,500 เมตร ถึงมาราธอน
ตัวอย่าง: เมื่อนักวิ่งมี VDOT ต่างกันในแต่ละระยะ
เป็นเรื่องปกติที่นักวิ่งบางคนอาจได้ค่า VDOT ที่ต่างกันในแต่ละระยะ เช่น:
- วิ่ง 1,500 เมตร ได้เวลา 4:31 → VDOT = 61
- วิ่ง 3,000 เมตร ได้เวลา 9:33 → VDOT = 62
- วิ่ง 5,000 เมตร ได้เวลา 15:54 → VDOT = 65
ในกรณีนี้ ควรเลือก VDOT ที่สูงที่สุด (65) เพื่อใช้ในการกำหนดความเข้มข้นของการฝึก เพราะแสดงถึงศักยภาพที่ดีที่สุดในช่วงเวลานั้น
ตาราง 2 ความเข้มข้นในการฝึกซ้อม จากค่า VDOT
| VDOT | E pace Mile |
E pace Km |
M pace Mile |
M pace Km |
T pace 400m |
T pace 1,000m |
T pace Mile |
I pace 400m |
I pace 1000m |
I pace 1,200m |
I pace Mile |
R pace 200m |
R pace 400m |
R pace 800m |
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| 30 | 12:40 | 7:52 | 11:01 | 6:51 | 2:33 | 6:24 | 10:18 | 2:22 | 6:07 | 7:20 | 11:52 | 67 | 2:16 | 4:40 |
| 31 | 12:22 | 7:41 | 10:45 | 6:41 | 2:30 | 6:14 | 10:02 | 2:18 | 6:00 | 7:12 | 11:38 | 65 | 2:12 | 4:34 |
| 32 | 12:04 | 7:30 | 10:29 | 6:31 | 2:26 | 6:05 | 9:47 | 2:14 | 5:53 | 7:04 | 11:24 | 63 | 2:08 | 4:28 |
| 33 | 11:48 | 7:20 | 10:14 | 6:21 | 2:23 | 5:56 | 9:33 | 2:11 | 5:47 | 6:57 | 11:11 | 62 | 2:05 | 4:22 |
| 34 | 11:32 | 7:10 | 10:00 | 6:13 | 2:19 | 5:48 | 9:20 | 2:08 | 5:40 | 6:50 | 10:58 | 60 | 2:02 | 4:16 |
| 35 | 11:17 | 7:01 | 9:46 | 6:04 | 2:16 | 5:40 | 9:07 | 2:05 | 5:34 | 6:43 | 10:45 | 59 | 1:59 | 4:10 |
| 36 | 11:02 | 6:52 | 9:33 | 5:56 | 2:13 | 5:33 | 8:55 | 2:02 | 5:07 | 6:36 | 10:33 | 57 | 1:55 | 4:04 |
| 37 | 10:49 | 6:43 | 9:20 | 5:48 | 2:10 | 5:25 | 8:44 | 1:59 | 5:00 | 6:29 | 10:21 | 56 | 1:53 | 3:58 |
| 38 | 10:35 | 6:35 | 9:08 | 5:41 | 2:07 | 5:19 | 8:33 | 1:56 | 4:54 | 6:22 | 10:09 | 54 | 1:50 | 3:53 |
| 39 | 10:23 | 6:27 | 8:57 | 5:33 | 2:05 | 5:12 | 8:22 | 1:54 | 4:48 | 6:16 | 9:57 | 53 | 1:48 | 3:48 |
| 40 | 10:11 | 6:19 | 8:46 | 5:27 | 2:02 | 5:06 | 8:12 | 1:52 | 4:42 | 6:10 | 9:46 | 52 | 1:46 | 3:43 |
| 41 | 9:59 | 6:12 | 8:36 | 5:20 | 2:00 | 5:00 | 8:02 | 1:50 | 4:37 | 6:04 | 9:36 | 51 | 1:44 | 3:39 |
| 42 | 9:47 | 6:04 | 8:25 | 5:13 | 1:58 | 4:54 | 7:52 | 1:48 | 4:32 | 5:59 | 9:26 | 50 | 1:43 | 3:35 |
| 43 | 9:36 | 5:57 | 8:15 | 5:06 | 1:56 | 4:49 | 7:43 | 1:46 | 4:27 | 5:54 | 9:16 | 49 | 1:41 | 3:31 |
| 44 | 9:25 | 5:50 | 8:06 | 5:00 | 1:54 | 4:43 | 7:34 | 1:44 | 4:22 | 5:49 | 9:07 | 48 | 1:39 | 3:27 |
| 45 | 9:14 | 5:43 | 7:56 | 4:54 | 1:52 | 4:38 | 7:25 | 1:42 | 4:17 | 5:44 | 8:58 | 47 | 1:37 | 3:23 |
| 46 | 9:03 | 5:37 | 7:47 | 4:48 | 1:51 | 4:33 | 7:16 | 1:40 | 4:13 | 5:39 | 8:49 | 46 | 1:36 | 3:19 |
| 47 | 8:53 | 5:30 | 7:38 | 4:42 | 1:49 | 4:28 | 7:08 | 1:39 | 4:08 | 5:34 | 8:40 | 45 | 1:34 | 3:16 |
| 48 | 8:43 | 5:24 | 7:29 | 4:36 | 1:47 | 4:23 | 6:59 | 1:37 | 4:04 | 5:29 | 8:32 | 44 | 1:32 | 3:12 |
| 49 | 8:33 | 5:18 | 7:20 | 4:31 | 1:45 | 4:18 | 6:51 | 1:35 | 4:00 | 5:24 | 8:24 | 43 | 1:31 | 3:09 |
| 50 | 8:23 | 5:12 | 7:12 | 4:25 | 1:44 | 4:13 | 6:44 | 1:34 | 3:56 | 5:19 | 8:16 | 42 | 1:29 | 3:06 |
| 51 | 8:14 | 5:06 | 7:04 | 4:20 | 1:42 | 4:09 | 6:36 | 1:32 | 3:52 | 5:14 | 8:08 | 41 | 1:28 | 3:03 |
| 52 | 8:05 | 5:01 | 6:56 | 4:15 | 1:41 | 4:04 | 6:29 | 1:31 | 3:48 | 5:09 | 8:01 | 41 | 1:27 | 3:00 |
| 53 | 7:56 | 4:56 | 6:48 | 4:10 | 1:39 | 4:00 | 6:22 | 1:29 | 3:44 | 5:05 | 7:53 | 40 | 1:25 | 2:57 |
| 54 | 7:47 | 4:50 | 6:41 | 4:05 | 1:38 | 3:56 | 6:15 | 1:28 | 3:41 | 5:01 | 7:46 | 39 | 1:24 | 2:54 |
| 55 | 7:39 | 4:45 | 6:34 | 4:00 | 1:37 | 3:52 | 6:08 | 1:27 | 3:37 | 4:57 | 7:39 | 39 | 1:23 | 2:51 |
| 56 | 7:31 | 4:40 | 6:27 | 3:56 | 1:36 | 3:48 | 6:01 | 1:25 | 3:34 | 4:53 | 7:32 | 38 | 1:22 | 2:49 |
| 57 | 7:23 | 4:35 | 6:20 | 3:51 | 1:34 | 3:44 | 5:55 | 1:24 | 3:31 | 4:49 | 7:25 | 37 | 1:21 | 2:46 |
| 58 | 7:15 | 4:30 | 6:14 | 3:47 | 1:33 | 3:40 | 5:49 | 1:23 | 3:28 | 4:45 | 7:18 | 37 | 1:20 | 2:43 |
| 59 | 7:08 | 4:25 | 6:08 | 3:43 | 1:32 | 3:37 | 5:43 | 1:22 | 3:25 | 4:41 | 7:11 | 36 | 1:19 | 2:41 |
| 60 | 7:01 | 4:21 | 6:02 | 3:39 | 1:31 | 3:33 | 5:37 | 1:21 | 3:22 | 4:37 | 7:05 | 36 | 1:18 | 2:39 |
| 61 | 6:54 | 4:16 | 5:56 | 3:35 | 1:30 | 3:30 | 5:32 | 1:20 | 3:19 | 4:34 | 6:59 | 35 | 1:17 | 2:37 |
| 62 | 6:47 | 4:12 | 5:51 | 3:31 | 1:28 | 3:27 | 5:26 | 1:19 | 3:17 | 4:31 | 6:53 | 35 | 1:16 | 2:35 |
| 63 | 6:41 | 4:08 | 5:46 | 3:27 | 1:27 | 3:24 | 5:21 | 1:18 | 3:14 | 4:27 | 6:47 | 34 | 1:15 | 2:33 |
| 64 | 6:35 | 4:04 | 5:41 | 3:23 | 1:26 | 3:21 | 5:16 | 1:17 | 3:11 | 4:24 | 6:41 | 34 | 1:14 | 2:31 |
| 65 | 6:29 | 4:00 | 5:36 | 3:19 | 1:25 | 3:18 | 5:11 | 1:16 | 3:09 | 4:21 | 6:35 | 33 | 1:13 | 2:29 |
| 66 | 6:23 | 3:57 | 5:31 | 3:15 | 1:24 | 3:15 | 5:06 | 1:15 | 3:07 | 4:18 | 6:30 | 33 | 1:12 | 2:28 |
| 67 | 6:18 | 3:53 | 5:27 | 3:12 | 1:23 | 3:13 | 5:01 | 1:14 | 3:05 | 4:15 | 6:25 | 33 | 1:11 | 2:26 |
| 68 | 6:13 | 3:50 | 5:22 | 3:08 | 1:22 | 3:10 | 4:57 | 1:13 | 3:03 | 4:12 | 6:20 | 32 | 1:10 | 2:24 |
| 69 | 6:08 | 3:47 | 5:18 | 3:05 | 1:21 | 3:08 | 4:53 | 1:12 | 3:01 | 4:09 | 6:15 | 32 | 1:09 | 2:22 |
| 70 | 6:03 | 3:44 | 5:13 | 3:02 | 1:20 | 3:05 | 4:48 | 1:11 | 2:59 | 4:06 | 6:10 | 31 | 1:08 | 2:21 |
| 71 | 5:58 | 3:41 | 5:09 | 2:59 | 1:19 | 3:03 | 4:44 | 1:10 | 2:57 | 4:03 | 6:05 | 31 | 1:07 | 2:19 |
| 72 | 5:53 | 3:38 | 5:05 | 2:56 | 1:18 | 3:01 | 4:40 | 1:09 | 2:55 | 4:01 | 6:01 | 31 | 1:06 | 2:18 |
| 73 | 5:49 | 3:35 | 5:01 | 2:53 | 1:17 | 2:59 | 4:36 | 1:08 | 2:53 | 3:58 | 5:56 | 30 | 1:05 | 2:16 |
| 74 | 5:45 | 3:32 | 4:57 | 2:50 | 1:16 | 2:57 | 4:32 | 1:07 | 2:51 | 3:56 | 5:52 | 30 | 1:04 | 2:15 |
| 75 | 5:41 | 3:29 | 4:53 | 2:47 | 1:15 | 2:55 | 4:28 | 1:06 | 2:49 | 3:54 | 5:48 | 30 | 1:03 | 2:13 |
| 76 | 5:37 | 3:26 | 4:49 | 2:44 | 1:14 | 2:53 | 4:25 | 1:05 | 2:47 | 3:52 | 5:44 | 29 | 1:02 | 2:12 |
| 77 | 5:33 | 3:23 | 4:46 | 2:41 | 1:13 | 2:51 | 4:21 | 1:04 | 2:45 | 3:50 | 5:40 | 29 | 1:01 | 2:11 |
| 78 | 5:29 | 3:21 | 4:42 | 2:39 | 1:12 | 2:49 | 4:18 | 1:03 | 2:43 | 3:48 | 5:36 | 29 | 1:00 | 2:09 |
| 79 | 5:26 | 3:18 | 4:39 | 2:36 | 1:11 | 2:47 | 4:15 | 1:02 | 2:41 | 3:46 | 5:33 | 28 | 0:59 | 2:08 |
| 80 | 5:22 | 3:16 | 4:36 | 2:34 | 1:10 | 2:45 | 4:12 | 1:01 | 2:39 | 3:44 | 5:29 | 28 | 0:58 | 2:07 |
| 81 | 5:19 | 3:13 | 4:33 | 2:32 | 1:09 | 2:43 | 4:09 | 1:00 | 2:37 | 3:42 | 5:26 | 28 | 0:57 | 2:06 |
| 82 | 5:16 | 3:11 | 4:30 | 2:29 | 1:08 | 2:41 | 4:06 | 0:59 | 2:36 | 3:40 | 5:23 | 27 | 0:57 | 2:05 |
| 83 | 5:13 | 3:09 | 4:27 | 2:27 | 1:07 | 2:39 | 4:03 | 0:59 | 2:34 | 3:39 | 5:20 | 27 | 0:56 | 2:04 |
| 84 | 5:10 | 3:07 | 4:24 | 2:25 | 1:06 | 2:37 | 4:01 | 0:58 | 2:32 | 3:37 | 5:17 | 27 | 0:55 | 2:03 |
| 85 | 5:07 | 3:05 | 4:21 | 2:23 | 1:05 | 2:35 | 3:58 | 0:57 | 2:31 | 3:35 | 5:14 | 26 | 0:54 | 2:02 |
การใช้ค่า VDOT เพื่อกำหนดความเข้มข้นในการฝึกซ้อม
เมื่อคุณได้ทราบค่า VDOT ของตนเองแล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการนำค่านี้ไปใช้กำหนด ระดับความเข้มข้นในการฝึกซ้อม ซึ่งสามารถอ้างอิงได้จากตารางการฝึก (Training Intensities) ที่สัมพันธ์กับค่า VDOT ที่คุณมี
วิธีใช้งาน:
ให้นำค่า VDOT ที่คุณหาได้จากผลการแข่งขัน (เช่นใน ตาราง 3.1) แล้วมาดูรายละเอียดของความเร็วเป้าหมายสำหรับแต่ละโซนฝึกซ้อมใน ตาราง 3.2 ซึ่งประกอบด้วย 5 โซนหลัก ได้แก่
- E pace: Easy & Long run
- M pace: Marathon pace
- T pace: Threshold/Tempo pace
- I pace: Interval pace
- R pace: Repetition pace
ตัวอย่างเช่น หากคุณมีค่า VDOT เท่ากับ 50 (ซึ่งมาจากเวลาวิ่ง 5,000 เมตร ในเวลา 19:57 นาที) ค่าความเร็วที่ควรฝึกในแต่ละโซนคือ:
- Easy (E) และ Long run: 5:18 นาที/กิโลเมตร (หรือ 8:32 นาที/ไมล์)
- Marathon pace (M): 7:17 นาที/ไมล์
- Threshold (T):
- 1:42 นาทีต่อ 400 เมตร
- 4:15 นาทีต่อ 1,000 เมตร
- 6:51 นาทีต่อไมล์
- Interval (I):
- 93 วินาทีต่อ 400 เมตร
- 3:55 นาทีต่อ 1,000 เมตร
- 4:41 นาทีต่อ 1,200 เมตร
- Repetition (R):
- 43 วินาทีต่อ 200 เมตร
- 87 วินาทีต่อ 400 เมตร
ข้อควรทราบ:
ในกรณีของ I-pace จะไม่มีการกำหนด pace ต่อไมล์ เพราะการฝึกในช่วง Interval ไม่ควรเกิน 5 นาทีต่อเซสชัน — pace ต่อไมล์จึงจะหนักเกินไป หากคุณมี VDOT = 50 การฝึก Interval ด้วยระยะ 1,200 เมตร (ใน pace 4:41) หรือ 1,000 เมตร (pace 3:55) จะเหมาะสมกว่า
หากคุณเป็นนักวิ่งระยะสั้น เช่น 800 เมตร แนะนำให้ดูรายละเอียดเพิ่มเติมจากบทที่ 16 ซึ่งอธิบายความเข้มข้นของการฝึกเฉพาะทางสำหรับผู้เชี่ยวชาญในระยะ 400–1,500 เมตร
การประยุกต์ใช้กับการฝึก
เมื่อได้ค่า VDOT แล้ว คุณสามารถ:
- กำหนด Training Paces ได้แม่นยำในแต่ละโซน เช่น E, M, T, I, R
- ใช้เพื่อ พยากรณ์เวลาในการแข่งระยะใหม่ ได้อย่างสมเหตุสมผล
- ประเมินพัฒนาการและระดับฟิตเนสของตัวเองเมื่อเทียบกับการแข่งขันก่อนหน้า
📌 Tip สำหรับโค้ชและนักวิ่ง
หากคุณฝึกในสนามที่มีความยาก เช่น ครอสคันทรี หรือภูเขา ค่า VDOT ที่ได้จากสนามนั้นอาจต่ำกว่าความเป็นจริง แต่อาจใช้เพื่อตั้ง pace การฝึกสำหรับสภาพแวดล้อมคล้ายกันได้
✨ ตาราง VDOT ไม่ใช่แค่ตัวเลขธรรมดา แต่คือเครื่องมือที่เปลี่ยนข้อมูลจากสนามแข่งให้กลายเป็นพิมพ์เขียวสำหรับการฝึกซ้อมอย่างมีระบบ
การประยุกต์ใช้งานในชีวิตจริง
- กำหนดโซนการฝึก: E / M / T / I / R โดยอ้างอิงจากค่า VDOT
- วางแผนฝึกแบบมีข้อมูล: รู้ว่า pace ไหนกำลังฝึกด้านใด
- ใช้ Training Points: วัดความเครียดสะสมในแต่ละ session จากทั้งเวลาและความเข้มข้น เพื่อเลี่ยง overtraining


ตาราง 3 Training Point ( คะแนน Training Point ต่อเวลา ตาม Training Zone)
table, th, td { border: 1px solid black; border-collapse: collapse; } th, td { padding: 4px; text-align: center; }| % VDOT | % HRmax | E zone (easy running) | |||||
|---|---|---|---|---|---|---|---|
| 1 min | 5 min | 10 min | 20 min | 30 min | 60 min | ||
| 59 | 65 | .100 | .500 | 1.00 | 2.00 | 3.00 | 6.00 |
| 60 | 66 | .110 | .550 | 1.10 | 2.20 | 3.30 | 6.60 |
| 61 | 67 | .122 | .610 | 1.22 | 2.44 | 3.66 | 7.30 |
| 62 | 68 | .135 | .675 | 1.35 | 2.70 | 4.05 | 8.10 |
| 63 | 69 | .150 | .750 | 1.50 | 3.00 | 4.50 | 9.00 |
| 64 | 70 | .167 | .835 | 1.67 | 3.34 | 5.00 | 10.00 |
| 65 | 71 | .183 | .915 | 1.83 | 3.66 | 5.50 | 11.00 |
| 66 | 72 | .200 | 1.000 | 2.00 | 4.00 | 6.00 | 12.00 |
| 67 | 73 | .217 | 1.085 | 2.17 | 4.34 | 6.50 | 13.00 |
| 68 | 74 | .233 | 1.165 | 2.33 | 4.66 | 7.00 | 14.00 |
| 69 | 75 | .250 | 1.250 | 2.50 | 5.00 | 7.50 | 15.00 |
| 70 | 75.5 | .267 | 1.335 | 2.67 | 5.34 | 8.00 | 16.00 |
| 71 | 76 | .283 | 1.415 | 2.83 | 5.66 | 8.50 | 17.00 |
| 72 | 77 | .300 | 1.500 | 3.00 | 6.00 | 9.00 | 18.00 |
| 73 | 78 | .317 | 1.585 | 3.17 | 6.34 | 9.50 | 19.00 |
| 74 | 79 | .333 | 1.665 | 3.33 | 6.66 | 10.00 | 20.00 |
| % VDOT | % HRmax | M zone (marathon pace) | |||||
|---|---|---|---|---|---|---|---|
| 1 min | 5 min | 10 min | 20 min | 30 min | 60 min | ||
| 75 | 80 | .350 | 1.750 | 3.50 | 7.00 | 10.50 | 21.00 |
| 76 | 81 | .367 | 1.835 | 3.70 | 7.40 | 11.10 | 22.00 |
| 77 | 82 | .392 | 1.960 | 3.90 | 7.80 | 11.70 | 23.50 |
| 78 | 83 | .417 | 2.090 | 4.20 | 8.40 | 12.60 | 25.00 |
| 79 | 84 | .442 | 2.210 | 4.40 | 8.80 | 13.20 | 26.50 |
| 80 | 85 | .467 | 2.340 | 4.70 | 9.40 | 14.10 | 28.00 |
| 81 | 86 | .492 | 2.460 | 4.90 | 9.80 | 14.70 | 29.50 |
| 82 | 87 | .517 | 2.590 | 5.20 | 10.40 | 15.60 | 31.00 |
| 83 | 88 | .550 | 2.750 | 5.50 | 11.00 | 16.50 | 33.00 |
| 84 | 89 | .583 | 2.920 | 5.80 | 11.60 | 17.40 | 35.00 |
| % VDOT | % HRmax | T zone (threshold/tempo) | |||||
|---|---|---|---|---|---|---|---|
| 1 min | 5 min | 10 min | 20 min | 30 min | 60 min | ||
| 83 | 88 | .550 | 2.750 | 5.50 | 11.00 | 16.50 | 33.00 |
| 84 | 89 | .583 | 2.920 | 5.80 | 11.60 | 17.40 | 35.00 |
| 85 | 89.5 | .600 | 3.000 | 6.00 | 12.00 | 18.00 | 36.00 |
| 86 | 90 | .617 | 3.090 | 6.20 | 12.40 | 18.60 | 37.00 |
| 87 | 91 | .650 | 3.250 | 6.50 | 13.00 | 19.50 | 39.00 |
| 88 | 92 | .683 | 3.420 | 6.80 | 13.60 | 20.40 | 41.00 |
| % VDOT | % HRmax | 10K zone (race-specific) | |||||
|---|---|---|---|---|---|---|---|
| 1 min | 5 min | 10 min | 20 min | 30 min | 60 min | ||
| 90 | 93 | .720 | 3.60 | 7.20 | 14.40 | 21.60 | 43.00 |
| 91 | 93.5 | .733 | 3.66 | 7.33 | 14.70 | 22.00 | 44.00 |
| 92 | 94 | .750 | 3.75 | 7.50 | 15.00 | 22.50 | 45.00 |
| 93 | 95 | .767 | 3.83 | 7.67 | 15.30 | 23.00 | 46.00 |
| 94 | 96 | .783 | 3.92 | 7.83 | 15.60 | 23.50 | 47.00 |
| % VDOT | % HRmax | I zone (interval) | |||||
|---|---|---|---|---|---|---|---|
| 1 min | 2 min | 5 min | 10 min | 20 min | 30 min | ||
| 95 | 97.5 | .900 | 1.80 | 4.50 | 9.00 | 18.00 | 27.00 |
| 96 | 98 | .917 | 1.83 | 4.60 | 9.20 | 18.40 | 27.50 |
| 97 | 98.5 | .940 | 1.88 | 4.70 | 9.40 | 18.80 | 28.20 |
| 98 | 99 | .960 | 1.92 | 4.80 | 9.60 | 19.20 | 28.80 |
| 99 | 99.5 | .983 | 1.97 | 4.90 | 9.80 | 19.60 | 29.50 |
| 100 | 100 | 1.000 | 2.00 | 5.00 | 10.00 | 20.00 | 30.00 |
| % VDOT | % HRmax | R zone (repetition) | |||||
|---|---|---|---|---|---|---|---|
| 1 min | 2 min | 5 min | 10 min | 20 min | 30 min | ||
| 105 | 100 | 1.25 | 2.50 | 3.75 | 6.25 | 12.50 | 25.00 |
| 110 | 100 | 1.50 | 3.00 | 4.50 | 7.50 | 15.00 | 30.00 |
| 115 | 100 | 1.75 | 3.60 | 5.25 | 8.75 | 17.50 | 35.00 |
| 120 | 100 | 2.10 | 4.20 | 6.30 | 10.50 | 21.00 | 42.00 |
• ค่าเวลาในโซน M (Marathon Pace) เป็นค่าประมาณเวลาในการวิ่งมาราธอน ที่สัมพันธ์กับเปอร์เซ็นต์ของค่า VDOT
•• ค่าเวลาในโซน 10K เป็นค่าประมาณเวลาในการวิ่งระยะ 10 กิโลเมตร ที่สัมพันธ์กับเปอร์เซ็นต์ของค่า VDOT
••• ค่าเวลาในโซน I (Interval) และ R (Repetition) เป็นค่าที่อิงจากเวลาในการแข่งขัน ที่สัมพันธ์กับเปอร์เซ็นต์ของค่า VDOT โดยไม่ขึ้นอยู่กับระยะทางที่วิ่ง
วิธีใช้งานตาราง Training Point: เปลี่ยนความเข้มข้นของการฝึกให้เป็น “คะแนน”
เพื่อช่วยให้นักวิ่งทุกระดับสามารถประเมินปริมาณการฝึกซ้อมได้อย่างแม่นยำ เราได้ออกแบบตาราง “Training Point” ซึ่งแปลง ความเข้มข้นของการวิ่งแต่ละโซน ให้กลายเป็น คะแนนต่อระยะเวลา (Points per minute) โดยใช้พื้นฐานจากค่า VDOT ปัจจุบันของนักวิ่ง (หรือใช้ค่าชีพจร Heart Rate ก็ได้เช่นกัน)
หลักการง่าย ๆ คือ:
ยิ่งวิ่งด้วยความเข้มข้นที่สูงขึ้น คะแนนที่ได้ต่อนาทีก็จะยิ่งมากขึ้น เช่น:
- วิ่ง Easy จะได้ประมาณ 2–3 คะแนนต่อ 10 นาที
- วิ่ง Marathon pace ได้ 25 คะแนนต่อชั่วโมง
- Threshold pace (T pace) ให้ประมาณ 6 คะแนนต่อ 10 นาที
- Interval pace (I pace) ให้ 1 คะแนนต่อนาที
- Repetition pace (R pace) ให้ 1.5–2.1 คะแนนต่อนาที (ขึ้นกับว่าเป็นระยะ 800 เมตรหรือเร็วกว่า)
การบันทึกคะแนนจากแต่ละเซสชันจะช่วยให้นักวิ่งเห็นภาพรวมของภาระการฝึกได้ชัดเจน และสามารถบริหารจัดการแผนฝึกไม่ให้หนักเกินไป หรือเน้นโซนใดโซนหนึ่งมากเกินความจำเป็น
ทำไมจึงต้องใช้ Training Point?
ตารางนี้ออกแบบให้รองรับ การซ้อนทับกันของโซนฝึก เช่น:
- โซน Marathon pace (M) และ Threshold pace (T) มีการซ้อนกันราว 2% เพื่อรองรับความจริงที่ว่า นักวิ่งที่เก่งมากสามารถวิ่ง Marathon pace ได้ที่ระดับความเข้มข้นเทียบเท่า Threshold ของนักวิ่งทั่วไป
การใช้ตารางนี้จะช่วย ลดปัญหา “การฝึกที่ไม่มีจุดประสงค์” หรือที่เรียกว่า “misplaced quality training” ซึ่งหมายถึงการฝึกที่ไม่ได้อยู่ในโซนที่สอดคล้องกับเป้าหมายการฝึกในวันนั้น
ก่อนจะออกวิ่ง ถามตัวเองว่า:
- วันนี้ฝึกเพื่ออะไร?
- ฉันต้องการพัฒนาระบบใดในร่างกาย?
หากตอบได้ชัดเจน การเลือกโซนฝึกและประเมินคะแนนที่ได้จะมีความหมายทันที
ทางเลือกในการคำนวณคะแนน
หากไม่ต้องการลงรายละเอียดตามตารางอย่างละเอียดเสมอไป ก็สามารถใช้ค่า “ตัวแทน” ที่คำนวณง่าย เช่น:
- วอร์มอัพ/คูลดาวน์: 1 คะแนนต่อ 5 นาที
- Easy runs: 12–18 คะแนนต่อชั่วโมง
- T pace: 6 คะแนนต่อ 10 นาที
- I pace: 1 คะแนนต่อนาที
- R pace: 1.5 คะแนนต่อนาที (หรือ 2.1 หากฝึกในระดับ 800 เมตร)
สำหรับผู้ที่ใช้ Heart Rate monitor สามารถใช้ตารางเดียวกันนี้โดยอิงจากเปอร์เซ็นต์ HRmax ได้เช่นกัน โดยเฉพาะถ้าฝึกในกีฬาอื่น เช่น ปั่นจักรยาน ว่ายน้ำ หรือสกี
Practical Monitoring: ติดตามความก้าวหน้าแบบไม่ต้องพึ่งแล็บ
- Time Trial / Race Result → คำนวณ VDOT
- Resting HR & HR Submax → ประเมินระบบหัวใจ
- RPE และ Recovery Feel → ประเมินความรู้สึกและความฟื้นตัวของร่างกาย
- Lactate Testing → หากมีอุปกรณ์ จะวัด LT ได้อย่างแม่นยำ
สรุป
Aerobic Profile และระบบ VDOT เป็นเครื่องมือสำคัญที่เชื่อมโยงวิทยาศาสตร์การกีฬาเข้ากับสนามฝึกจริง ช่วยให้นักวิ่งวางแผนฝึกซ้อมอย่างแม่นยำและมีจุดหมาย พร้อมพัฒนาองค์ประกอบทางสรีรวิทยาได้ครบถ้วน ทั้งระบบหัวใจ กล้ามเนื้อ Threshold, VO₂max, Speed และ Running Economy — เพื่อความก้าวหน้าและความยั่งยืนในทุกก้าวของนักวิ่งระยะไกล
โซนการฝึกซ้อมสำหรับนักวิ่งระยะไกล: เข้าใจลึกเพื่อออกแบบแผนฝึกอย่างแม่นยำ
ในการฝึกซ้อมสำหรับนักวิ่งระยะไกล การเข้าใจ “โซนการฝึกซ้อม” (Training Zones) อย่างลึกซึ้งเป็นหัวใจของการออกแบบโปรแกรมฝึกที่มีประสิทธิภาพ โดยอ้างอิงหลักจาก Daniels’ Running Formula ซึ่งแบ่งออกเป็น 5 โซนหลัก แต่ละโซนมีเป้าหมายที่ชัดเจนในการพัฒนาองค์ประกอบทางสรีรวิทยาที่สำคัญ
ภาพรวม 5 โซนการฝึกหลัก:

- โซน E (Easy / Long Runs)
- วัตถุประสงค์: พัฒนาระบบหัวใจ-หลอดเลือดและระบบกล้ามเนื้อ เพิ่ม stroke volume, ปริมาตรเลือด และเสริมความแข็งแรงกล้ามเนื้อ
- ความเข้มข้น: 59–74% VO₂max หรือ 65–79% HRmax
- ลักษณะการฝึก: วิ่งสบายต่อเนื่อง เช่น long run 90 นาที หรือ recovery run 30–60 นาที
- สัดส่วน: ควรเป็น 60–75% ของระยะเวลาการฝึกทั้งหมดในสัปดาห์
- โซน M (Marathon Pace)
- วัตถุประสงค์: จำลอง pace การแข่งขันมาราธอน เพิ่มความทนทานระยะยาว
- ความเข้มข้น: 75–84% VO₂max หรือ 80–90% HRmax
- ลักษณะการฝึก: steady run หรือ long repeats ไม่เกิน 90 นาทีหรือ 16 ไมล์
- โซน T (Threshold / Tempo)
- วัตถุประสงค์: พัฒนา Lactate Threshold เพื่อรักษา pace สูงได้นานขึ้น
- ความเข้มข้น: 83–88% VO₂max หรือ 88–92% HRmax
- ลักษณะการฝึก: tempo run 20–40 นาที หรือ cruise intervals เช่น 3×12 นาที พัก 2–3 นาที
- โซน I (Intervals)
- วัตถุประสงค์: กระตุ้น VO₂max และยกระดับศักยภาพความเร็ว
- ความเข้มข้น: 95–100% VO₂max หรือ 98–100% HRmax
- ลักษณะการฝึก: 3–5 นาทีต่อเซต 3–6 ครั้ง พัก jog เท่ากันหรือน้อยกว่า
- โซน R (Reps / Speed)
- วัตถุประสงค์: พัฒนา speed, stride mechanics และ Running Economy
- ความเข้มข้น: race pace หรือเร็วกว่า โดยพักเต็มที่
- ลักษณะการฝึก: 6×200 เมตร sprint หรือ 8×400 เมตร @ 5K pace พักเต็มที่


การนำ Training Zones ไปใช้จริง:
- ฐานฝึกต้องเริ่มที่ E-zone: ยิ่งฝึกนานในโซนนี้เท่าไร ระบบหัวใจและกล้ามเนื้อยิ่งแข็งแรง
- ใส่ Quality Sessions อย่างมีกลยุทธ์: 1–2 ครั้ง/สัปดาห์ใน T หรือ I และเสริม R เพื่อ speed
- อิงจากระบบ VDOT: ช่วยกำหนด pace ที่เหมาะสมโดยไม่ต้องพึ่งแล็บ
- วัดภาระฝึกด้วย Training Points: คะแนนการฝึกต่อนาทีแต่ละโซนช่วยบริหารความเครียดสะสม
สรุป:
การฝึกซ้อมอย่างมีประสิทธิภาพสำหรับนักวิ่งระยะไกลไม่ใช่แค่การวิ่งเยอะ แต่ต้องวางโครงสร้างตามโซนอย่างถูกต้อง ใช้ Easy Runs เป็นรากฐาน และเสริมด้วยการฝึกคุณภาพเพื่อพัฒนาองค์ประกอบสรีรวิทยาแต่ละด้าน การใช้ระบบ VDOTและ Training Points จะช่วยให้สามารถวางแผนฝึกได้แม่นยำ เห็นผลลัพธ์ และลดความเสี่ยงจาก overtraining อย่างชัดเจน
การฝึกซ้อมที่ความสูง (Altitude Training): กลยุทธ์เสริมเพื่อพัฒนาศักยภาพของนักวิ่งระยะไกล

หนึ่งในกลยุทธ์ที่ได้รับความนิยมในหมู่นักวิ่งระดับสูงคือ การฝึกซ้อมที่ความสูง (Altitude Training) ซึ่งอาศัยสภาพแวดล้อมที่มีออกซิเจนน้อยกว่าเพื่อกระตุ้นการปรับตัวทางสรีรวิทยาในร่างกาย นักวิ่งจำนวนมากเชื่อว่าการฝึกที่ระดับความสูงปานกลาง เช่น 2,000–2,500 เมตร สามารถเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันเมื่อลงมาวิ่งที่ระดับน้ำทะเลได้

ทำไมความสูงถึงมีผลต่อการฝึก?
ที่ระดับความสูง ความดันบรรยากาศจะลดลง ส่งผลให้ ความดันย่อยของออกซิเจน (Partial Pressure of O₂) ลดลงตามไปด้วย นี่คือเหตุผลที่ทำให้ สมรรถภาพแอโรบิก (VO₂max) ของนักวิ่งลดลงขณะอยู่ที่ความสูง ร่างกายจะไม่สามารถส่งออกซิเจนไปยังกล้ามเนื้อได้เต็มที่ ทำให้ความเร็วในการวิ่งลดลงโดยเฉพาะในการแข่งขันตั้งแต่ 1,500 เมตรขึ้นไป
อย่างไรก็ตาม ข้อดีคือสภาพแวดล้อมที่มีออกซิเจนต่ำนี้จะ กระตุ้นร่างกายให้ปรับตัว เช่น การเพิ่มจำนวนเซลล์เม็ดเลือดแดง และความสามารถในการจับออกซิเจนของฮีโมโกลบิน ซึ่งถือเป็นผลระยะยาวที่เป็นประโยชน์เมื่อนักวิ่งกลับมาวิ่งที่ระดับน้ำทะเล
ปรับตัวอย่างไรให้ได้ผลจริง
การฝึกที่ความสูงไม่ใช่ “ทางลัด” แต่คือ เครื่องมือเสริม ที่ต้องมีการวางแผนอย่างรอบคอบ
- ✅ Live High, Train Low: แนวทางที่ดีที่สุดคือการอยู่อาศัยบนที่สูงเพื่อรับผลทางสรีรวิทยา และลงมาฝึกซ้อมที่ระดับต่ำเพื่อรักษาความเร็วและความเข้มข้นของการฝึก
- 🧭 เลือกช่วงเวลาฝึกอย่างชาญฉลาด: ช่วงวันแรกที่ไปถึงอาจเป็นเวลาที่ดีที่สุดสำหรับการแข่งขัน ส่วนช่วงวันที่ 3–5 เป็นจุดที่ร่างกายเริ่มเหนื่อยล้า ควรหลีกเลี่ยงการฝึกหนัก
- 📈 ความแตกต่างระหว่างบุคคล: นักวิ่งแต่ละคนตอบสนองต่อความสูงต่างกัน บางคนได้ผลดี บางคนอาจรู้สึกอ่อนล้าและไม่เห็นผลลัพธ์ชัดเจน
- ⏳ คงไว้ซึ่งผลลัพธ์: การปรับตัวจากการฝึกที่ความสูงจะคงอยู่เพียงระยะสั้น หากไม่มีการฝึกต่อเนื่องอย่างเหมาะสมเมื่อกลับสู่ระดับน้ำทะเล

สรุป
Altitude Training คือหนึ่งในกลยุทธ์เสริมที่สามารถนำมาใช้ควบคู่กับโปรแกรมฝึกซ้อมหลัก เพื่อผลักดันการพัฒนาของระบบหัวใจ-หลอดเลือด, กล้ามเนื้อ, VO₂max และ Running Economy ให้ก้าวไปอีกระดับ นักวิ่งที่ต้องการเพิ่มประสิทธิภาพและพร้อมสำหรับการแข่งขันระดับสูงควรศึกษาวิธีนี้อย่างรอบด้าน พร้อมวางแผนการฝึกให้เหมาะสมกับร่างกายและเป้าหมายของตนเอง
การฝึกเสริม (Supplemental Training): รากฐานลับของนักวิ่งที่แกร่งและยั่งยืน
ในโลกของการฝึกซ้อมสำหรับนักวิ่งระยะไกล เรามักให้ความสำคัญกับการเพิ่ม VO₂max หรือผลัก Lactate Threshold ให้สูงขึ้น แต่น้อยคนนักจะพูดถึง “พื้นฐานเงียบๆ” อย่าง การฝึกเสริม (Supplemental Training) ที่ช่วยให้ร่างกายพร้อมรับมือกับปริมาณการฝึกที่มากขึ้น และลดความเสี่ยงของการบาดเจ็บซ้ำแล้วซ้ำเล่า
แม้การฝึกเสริมจะไม่ใช่ตัวขับเคลื่อนหลักของความเร็วหรือความทนทาน แต่กลับเป็น ตัวเสริมพลังเงียบๆ ที่คอยสนับสนุนให้ร่างกายทำงานได้อย่างเต็มศักยภาพ และต่อเนื่อง

องค์ประกอบหลักของการฝึกเสริม
1. การฝึกความแข็งแรง (Strength Training)
การฝึกกล้ามเนื้อไม่ใช่เรื่องของนักเพาะกายเท่านั้น แต่นักวิ่งเองก็จำเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะการสร้างความแข็งแรงให้กล้ามเนื้อสะโพก (hip), กล้ามเนื้อก้น (glute) และแกนกลางลำตัว (core)
- ✅ เป้าหมาย: ป้องกันการบาดเจ็บ, เพิ่ม Running Economy และรับมือกับภาระการฝึกที่หนักหน่วงได้ดีขึ้น
- 📌 คำแนะนำ: 1–2 ครั้งต่อสัปดาห์ โดยอาจเสริมด้วย plyometrics เบาๆ เพื่อฝึกการคืนแรง (elastic recoil)

2. การฝึกความคล่องตัวและความยืดหยุ่น (Mobility & Flexibility)
การเคลื่อนไหวที่ไหลลื่นไม่เพียงแค่ดูดี แต่ยังช่วยให้คุณวิ่งได้มีประสิทธิภาพขึ้น ลดการสูญเสียพลังงานจากกล้ามเนื้อที่ตึงหรือข้อต่อที่ไม่ยืดหยุ่น
- ✅ เป้าหมาย: ปรับปรุง mechanics/stride และลดการเคลื่อนไหวที่ไม่จำเป็นซึ่งทำให้เปลืองพลัง
- 📌 คำแนะนำ: ทำก่อน-หลังวิ่ง หรือใน วันพักฟื้น (recovery day)

3. โภชนาการและการดื่มน้ำ (Nutrition & Hydration)
ร่างกายที่ดีต้องมี “วัตถุดิบดี” เสมอ! การรับพลังงานและน้ำอย่างเพียงพอส่งผลโดยตรงต่อปริมาตรเลือด, ระดับไกลโคเจนในกล้ามเนื้อ และประสิทธิภาพการใช้ออกซิเจน
- ✅ เป้าหมาย: รักษา blood volume, glycogen stores และสนับสนุนระบบขนส่งออกซิเจนในร่างกาย
- 📌 คำแนะนำ: วางแผนการกิน–ดื่มให้เหมาะสมทั้งช่วงก่อน ระหว่าง และหลังการฝึกซ้อม

เมื่อรวมเข้ากับแผนฝึกที่ครอบคลุม
การฝึกเสริมคือฟันเฟืองสำคัญที่ช่วยให้ระบบฝึกตามโซน (E, M, T, I, R) ของคุณ ทำงานได้อย่างราบรื่นและต่อเนื่อง โดยเฉพาะเมื่อคุณเริ่มเข้าสู่โปรแกรมฝึกที่เข้มข้นขึ้น การบาดเจ็บหรือความล้าสะสมอาจเป็นอุปสรรคใหญ่ และนี่คือบทบาทของ Supplemental Training ที่ไม่ควรมองข้าม
Easy Runs อาจสร้างฐานหัวใจ–หลอดเลือดให้คุณได้ แต่ การฝึกเสริมจะเป็นพื้นฐานทางกล้ามเนื้อและโภชนาการ ที่ทำให้คุณวิ่งได้ต่อเนื่อง ไม่มีสะดุด
Practical Monitoring: ติดตามพัฒนาการนักวิ่งระยะไกลอย่างแม่นยำและยั่งยืน
ในเส้นทางการฝึกซ้อมของนักวิ่งระยะไกล ไม่ใช่เพียงการฝึกให้หนักขึ้นเท่านั้นที่นำไปสู่ผลลัพธ์ที่ดีขึ้น — แต่การรู้จัก “ติดตามพัฒนาการ” อย่างเป็นระบบต่างหาก ที่ช่วยให้เราฝึกได้อย่างชาญฉลาด ปรับแผนได้แม่นยำ และหลีกเลี่ยงภาวะฝึกเกิน (overtraining) ซึ่งอาจทำลายสมรรถภาพในระยะยาว

ทำไมการติดตามพัฒนาการจึงสำคัญ?
Practical Monitoring ช่วยให้นักวิ่งเข้าใจว่า:
- สมรรถภาพแอโรบิกของตน (Aerobic Profile) พัฒนาไปถึงจุดไหน
- ควรปรับเพิ่ม/ลด Training Load ตอนไหน
- จุดอ่อนใดที่ต้องเน้นปรับปรุง (เช่น VO₂max สูงแต่ Running Economy ยังต่ำ)
- ทุก Session มีคุณภาพหรือไม่
เครื่องมือและวิธีการติดตามผลที่นำไปใช้ได้จริง
1. 📊 ผลการแข่งขัน หรือ Time Trial
- ใช้ เวลาวิ่ง 5K/10K ล่าสุดในการคำนวณ ค่า VDOT
- ค่านี้เป็นตัวแทนศักยภาพแอโรบิกจากสนามจริง และช่วยให้สามารถกำหนด pace สำหรับแต่ละโซนฝึกได้แม่นยำ (E, M, T, I, R)
- การเปลี่ยนแปลงของค่า VDOT จึงสะท้อนความก้าวหน้าที่ชัดเจน

2. ❤️ แนวโน้มอัตราการเต้นของหัวใจ (HR Trends)
- Resting HR ที่ลดลง = ระบบหัวใจแข็งแรงขึ้น
- HR ที่ pace เดิมต่ำลง = ประสิทธิภาพแอโรบิกดีขึ้น
- เป็นสัญญาณที่ติดตามได้ง่ายและต่อเนื่องจากนาฬิกา GPS หรือแอปสุขภาพ

3. 🧠 RPE & Recovery Feel
- RPE = ความรู้สึกเหนื่อยที่รับรู้ได้ หาก pace เดิมรู้สึก “เบาลง” แปลว่าได้ผล
- Recovery Feel = ฟื้นตัวเร็วขึ้นหลังวิ่งหนัก สะท้อนการตอบสนองของระบบกล้ามเนื้อและพลังงานที่ดีขึ้น
- เป็นเครื่องมือภายในที่แม่นยำ และควรจดบันทึกไว้หลังการฝึกทุกครั้ง

4. 🧪 Lactate Testing (ถ้ามีอุปกรณ์)
- ตรวจค่าความเข้มข้นของแลคเตทในเลือด เพื่อหา Lactate Threshold รายบุคคล
- หากไม่มีอุปกรณ์สามารถใช้ทางเลือกคือ %VDOT, HR หรือความรู้สึกจาก T-pace แทนได้
5. ⏱ Specific Session Performance
- Interval Zone (I): ใช้ Time-to-Exhaustion หรือ 5K race pace วัดพัฒนาการ
- Repetition Zone (R): ดูความสม่ำเสมอ, ความรู้สึก “เบา” และฟอร์มที่มั่นคง
- Running Economy: ดูจากการทำเวลาเดิมได้ดีขึ้นโดยรู้สึกเหนื่อยน้อยลง
สรุป: ฝึกให้ดีขึ้น ด้วยการ “ติดตามที่ดีขึ้น”
Practical Monitoring ไม่ใช่แค่ตัวเลือกสำหรับนักกีฬามืออาชีพ — แต่นักวิ่งทุกคนควรใช้มันในการพัฒนาตนเอง โดยเฉพาะในโปรแกรมที่ออกแบบตามหลักสรีรวิทยาอย่าง VDOT-based training
เพียงคุณรู้ว่า “ตอนนี้เรายืนอยู่ตรงไหน” ก็จะสามารถกำหนดทิศทางไปข้างหน้าได้อย่างมั่นใจ
สรุปหลักการเชิงปฏิบัติ (Takeaways)
- ฝึกแยกแต่ละ “ระบบ” ด้วยจุดประสงค์เฉพาะ: E สำหรับ Cardio & Peripheral, T สำหรับ Lactate Threshold, I สำหรับ VO₂max, R สำหรับ Speed/Economy
- E runs เป็นฐานสำคัญ: ใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับ E runs เพื่อสร้างฐานที่แข็งแรง และมี Quality Sessions แบบมีเป้าหมายไม่เกิน 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์
- ทดสอบและติดตามด้วย VDOT: ใช้ VDOT หรือผลการแข่งขันจริงเพื่อปรับ Pace และวัดพัฒนาการ
การทำความเข้าใจหลักการเหล่านี้จะช่วยให้นักวิ่งสามารถออกแบบและปรับโปรแกรมการฝึกซ้อมให้เหมาะสมกับเป้าหมายและความสามารถของตนเองได้อย่างมีประสิทธิภาพและลดความเสี่ยงจากการบาดเจ็บ